วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

โรงพยาบาลรามาธิบดี

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา หมอผิวหนังที่คลีนิคนัดให้ไปทำเลเซอร์ที่รพ. รามา เลเซอร์ตัวนี้จะทำให้หน้าเด้งเว่อร์ ๆ ไม่รู้หมอโม้รึเปล่า แต่ก็หลงเชื่อไปแล้ว คุณหมอแกเป็นอาจารย์ด้านเลเซอร์อยู่ที่นั่น แกคุยว่าที่เมืองไทยมีแค่ 2 ตัว คือที่รามา กับอีกที่นึงที่แกไม่ยอมบอกว่าที่ไหน คงจะแปลกใจกันที่ทำไมรพ.เอกชนไม่มีก็เพราะว่าเครื่องตัวละหลายล้าน (จริงเปล่าก็ไม่รู้) ถ้ารพ.เอกชนจะเอามาใช้ ต้องคำนวณจุด break event คาดว่าสิบปีก็คงไม่เจอ ที่รพ. รามามีก็เพราะบริษัทขายเลเซอร์จะเอามาให้ยืมใช้เพื่อสอนนักเรียนหมอ ประมาณว่าเป็นวิทยาทาน โดยจะเอามาให้ยืมเดือนละ 2-3 วัน


วันที่ไป คุณหมอก็บอกว่าให้มาไวนิดนึง เพราะต้องทำบัตรก่อน ก็ไปถึงเกือบ ๆ แปดโมงเช้า ก่อนออกจากบ้านก็เตรียมเสื้อหนาวใส่กระเป๋าไปด้วยเพราะตามโรงพยาบาลมักชอบเปิดแอร์เย็น ๆ พอถึงโรงพยาบาลซึ่งใหญ่มาก ๆ มีตึกหลายตึก มีทั้งตึกที่ดูเก่ามาก ตึกสร้างใหม่ และตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่ มีตึกคณะแพทย์ ตึกอะไรก็ไม่รู้ สรุปว่าโรงพยาบาลนี้ใหญ่มาก ๆ (ไม่เคยไปศิริราช หรือจุฬา ก็เลยไม่รู้ว่าอันไหนใหญ่กว่ากัน)


ระหว่างทางเดิน เจอชาวบ้านที่มาหาหมอเยอะมาก ๆ เฉพาะตึกทำบัตรชั้น 1 ชั้นเดียวก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 500 คน ไม่ได้เว่อร์ คิดว่ามากกว่า 500 คนด้วยซ้ำ ตลอดทางที่เดินจากตึกนึงไปตึกนึงก็จะมีคนไข้เรียงรายรอหมอ บ้างก็ต้องยืนเพราะเก้าอี้ถูกจับจองไปหมดแล้ว บ้างก็อาศัยนั่งตามกระได เสื้อหนาวที่เตรียมมาจากบ้าน ลืมไปได้เลยเพราะโรงพยาบาลนี้ไม่มีแอร์ ต้องใช้เวลาประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมงครึ่งถึงจะได้บัตรคนไข้ 1 ใบ ระหว่างที่รอ ก็เห็นว่าคนไข้ที่มาหาหมอที่โรงพยาบาลนี้ส่วนใหญ่น่าสงสารมาก ต้องมารอคิวกันแต่เช้าตรู่เพื่อมาหาหมอตอนเที่ยงครึ่ง ส่วนใหญ่มีอายุ เหมือนมาต่างจังหวัด ดูเศร้า ๆ น่าสงสาร มองไปเห็นป้าข้าง ๆ ใส่หมวกไหมพรม แป๊บนึงก็พอเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกชื่อ คุณป้าค่อย ๆ ก็ลุกเดินออกไป พอมองตามก็เห็นว่าคุณป้าเข้าไปในห้องทำเคมีบำบัด อ๋อ คุณป้าเป็นมะเร็งหรอกเหรอ ? ทำไมคุณป้าฉายเดี่ยวอ่ะ? ไม่มีใครมาเป็นเพื่อนคุณป้าเลยเหรอ ? พอมอง ๆ ไป เออแฮ่ะ มีคนมารอหน้าห้องเคมีบำบัด ใส่หมวกไหมพรมกันตั้งหลายคน บ้างก็นั่งหลับ บ้างก็นั่งรอบนรถเข็น นี่คือเป็นมะเร็งอาการหนักมาก แต่ยังต้องรอคนละ 3-4 ชั่วโมงเนี่ยนะ ? ถ้าคนเหล่านี้มีเงินนิดนึงที่จะสามารถไปโรงพยาบาลเอกชน ก็คงจะไม่ลำบากขนาดนี้ หรือเพียงแค่ว่า ถ้าคนเหล่านี้ รู้จักคนในโรงพยาบาล ก็คงจะสามารถลัดคิวแบบที่คนไฮโซที่ชอบเข้าโรงพยาบาลรัฐบาลเค้าทำกัน คงไม่ต้องมารอเป็นหลาย ๆ ชั่วโมง เพื่อการรักษาเพียงแค่ 15 นาทีแบบนี้

พอทำบัตรเสร็จก็ขึ้นไปหาคุณหมอเพื่อทำเลเซอร์ ก็บอกให้คุณหมอฟังว่า ข้างล่างกับข้างบนนี่ทำไมเหมือนคนละโลก ข้างบนคือศูนย์เลเซอร์มีแอร์ มีที่นั่ง มีห้องรับแขกอย่างดี มีทีวีดู มีแมกกาซีนอ่าน ต่างกับข้างล่างโดยสิ้นเชิง คุณหมอก็เล่าให้ฟังว่าข้างบนนี้เอาไว้หาเงิน เพื่อเอาเงินไปช่วยข้างล่างไง เราถึงต้องคิดราคาแพงนิดนึง แต่ถ้าเทียบกับเอกชนแล้วก็ยังถูกกว่ามาก พอได้ฟัง ก็รู้สึกดีมาก ที่ลึก ๆ อาจลึกสุดขีดที่การทำเลเซอร์ความงามบ้า ๆ บอ ๆ ก็มีส่วนแม้จะน้อยนิดมากในการช่วยคุณป้าข้างล่างที่กำลังรักษามะเร็งอยู่
อีกใจก็นึกชื่นชมคุณหมอทุก ๆ คนที่โรงพยาบาลรามาธิบดีว่าทุกคนมีทางเลือกที่จะไปเป็น Full time ที่โรงพยาบาลเอกชนที่งานก็สบาย เงินก็ดี แต่ก็เลือกที่จะมาช่วยเหลือคนในสังคมที่ด้อยโอกาสเนื่องจากข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ

สำหรับทุกท่านที่ได้อ่านบล๊อกเรื่องนี้ อยากจะบอกว่า นอกเหนือจากการบริจาคเงินให้มูลนิธิต่าง ๆ แล้ว การบริจาคเงินให้แก่โรงพยาบาลรัฐบาลก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการทำบุญที่เห็นได้ชัดเจนมาก ๆ