วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2551

ไป Hanoi มา (ตอนจบ)

เนื่องจากช่วงนี้ ทั้งงานราษฏร์ และงานหลวงรัดเนื้อรัดตัวจนปลีกตัวหาเวลามาเขียนต่อภาคจบไม่ได้ซักที ภาคจบนี้จึงขอเขียนแบบรวบรัด เอาง่ายเข้าว่าล่ะกัน

พอกลับมาจากฮาลองเบย์ วันรุ่งขึ้นคุณเล็กก็เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ขอพักผ่อนนอนอุดตุด และแพ้บายอาหารเช้า พวกเรา 5 สาว (แก่ ๆ) จึงตัองออกมาผจญภัยในแดนมหัศจรรย์กันเอง ผลปรากฏว่าเป็นไปตามคาด (ควายยังเดาได้เลย) ว่า หลงแหลก หลงแล้ว และหลงอีก หลงเป็นชั่วโมงกว่าจะเดินไปเจอร้านอาหารเช้าที่เราหมายมั่นปั้นมือไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเดินผ่าน (ตอนเดินตามน้องไกด์ไปรับแขก) ชื่อร้าน Tamarind ก็รู้ ๆ อยู่ว่าความกระแดะ และดัดจริตของพวกหมู่เฮาไม่เป็นสองรองใคร ถ้าถามพี่อ้วนว่าเราจะแพ้ใครได้บ้าง พี่อ้วนคงใช้เวลาคิดสักพัก ก่อนจะตอบว่า พวกเราคงจะแพ้ก็แค่ วิคตอเรีย เบคแฮ่ม... อย่าพึ่งอ๊วกแตกนะคะ เดี๊ยนเขียนเอง ยังจะอ๊วกเองเลยค่ะ ....อ่ะต่อ ร้าน Tamarind ก็คือร้านอาหารมังสวิรัติที่มีสาขาเกือบทั่วทุกภูมิภาคของทวีปนี้ ร้านสาขาที่ฮานอยนี้ อาหารเช้ารสชาดย่อมไม่ธรรมดาแหง ๆ อยู่แล้ว แม้จะไม่มีเนื้อสัตว์หลงติดมาเลย แต่ขอบอกว่าอร่อยมาก ทุกชนิด ทุกจาน ทั้งคาว หวาน หรือแม้แต่น้ำผลไม้ปั่นแสนธรรมด๊า ธรรมดา พอดีไม่ได้ถ่ายรูปร้าน Tamarind มา ถ่ายมาแต่ร้าน Tangerine ก็ดู ๆ ประกอบไปก่อนล่ะกัน

พอกินข้าวเช้าเสร็จ จะกลับโรงแรม ก็ตามคาดเช่นเดิม หลงแหลกค่ะ หลงไปหลงมา จนหลงกลับมาที่โรงแรม แล้วก็มารับคุณเล็กออกไปกินข้าวเช้าพร้อมกับคุณเล็กอีกรอบที่ร้าน little hanoi ร้านชื่อดังที่ได้รับการรับรองจากนิตยสารท่องเที่ยวทุกสถาบัน พวกเราก็ทำเนียนกินกับคุณเล็ก เสมือนมื้อนี้เป็นมื้อแรกของวันของพวกเราทั้ง 5 คน

ตกบ่ายก็พากันไป St. Joseph Cathedral สมัยเล็ก ๆ คุณครูสอนให้อ่านว่า ข่า-ตรี๊-ดอล อย่าอ่านผิดนะจ๊ะ เดี๋ยวจะเชย อันนี้เป็นรูปปั้นพระแม่มารี กับพระเยซูที่อยู่หน้าโบสถ์




ตกเย็นก็ไปสอบซ่อมกันใหม่ที่ Cafe 69 โทษฐานมาวันแรกแล้วครัวดันปิด Cafe 69 ไม่ทำให้เราผิดหวังจริง ๆ ค่ะ อร่อยสมคำร่ำลือ กินแล้วกินเล่ากินไปประมาณ 20 กว่าจานได้ แค่ 8 แสนดองเองจ๊ะ พี่อ้วนด้วยความกำลังเมาเบียร์ฮานอย เลยทิปน้องเด็กเสริฟไปคนละ 5 หมื่น ก่อนออกจากร้าน น้อง ๆ แทบจะมาอุ้มพวกเราไปส่งโรงแรม

ตอนออกมาจากร้าน พวกเราได้แยกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มปวดฉี่ กับกลุ่มฉี่แล้ว ข้าพเจ้า คุณเล็ก และจอย เป็นพวกกลุ่มฉี่แล้วก็พากันไปเดินสำรวจร้านอาหารที่พรุ่งนี้จะไป breakfast กัน ส่วนกลุ่มปวดฉี่อันประกอบไปด้วย พี่อ้วน พี่ปุ้น แอนด์เจ้ เนื่องจากธรรมชาติเรียกร้องให้ไม่สามารถรอพวกเราสำรวจร้านอาหารได้ จึงขอปลีกตัวกลับโรงแรมไปก่อน แต่เอ๊ะ ! พวกมันจะบ้ารึเปล่าว่ะ ไอ้ 3 ตัวนั่นหน่ะตัวหลงเลย แล้วมันจะกลับโรงแรมไปได้ยังไงฟ่ะ ? ตามคาดอีกแล้วครับท่าน ระหว่างทางคุณเล็กนึกขึ้นมาได้ว่า 3 คนนั้นหลงแน่ ๆ จึงรีบย้อนรอยไปตามหา ปล่อยให้จี้จอยพาข้าพเจ้ากลับโรงแรม เมื่อถึงโรงแรม ก็ปรากฏว่า 3 คนนั้นยังมาไม่ถึง ถึงก็แต่คุณเล็กผู้ตามหาพวกมันไม่เจอ คุณเล็กเลยต้องวิ่งฝ่าความหนาวกลับไปตามหาพวกมันอีกรอบ ซักพักใหญ่ ๆ มาก ๆ 3 คนนั้นก็ทุลักทุเลกลับมาถึงโรงแรม แต่คุณเล็กที่ไปตามหาคนแก่หายก็ยังไม่กลับมา อีกซักพักใหญ่ ๆ จัด ๆ คุณเล็กก็กลับมาโรงแรมด้วยสภาพเหงื่อแตกพลั่ก คิดดูขนาดอากาศหนาวขนาดนี้ แต่ทำคุณเล็กเหงื่อออกได้ สืบเนื่องมาจากคุณเล็กออกไปตามหาคนแก่ 3 คน แทบจะทุกตรอกซอกซอยของ Old Quarter ในฮานอย จนปลงแล้วว่า ถ้าจะต้องไปหาอีกทีคงต้องไปหาที่บ้านบางแค คุณเล็กเลยถอดใจกลับโรงแรมนอนดีกว่า หายก็ดีจะได้หาเมียใหม่มันเลย พรุ่งนี้ก็ปีใหม่แล้ว จาก แฮปปี้นิวเยียร์ ก็เป็นแฮปปี้นิวเมีย เอ้าเชียร์กันเข้าไป อ่ะต่อ ๆ ซักพักพอคุณเล็กพักหายเหนื่อย พวกเราก็ออกเดินทางกันต่อแม้ว่านั่นจะ 4 ทุ่มแล้วก็ตาม

ภาระกิจสำคัญของคืนนี้ก็คือการไป count down กับหนุ่ม ๆ สาว ๆ ชาวฮานอย พวกเราไปแวะ Pre count down กันก่อนที่ Papa Joe Cafe พอใกล้เที่ยงคืนก็พากันลงมายืนกันรอบ ๆ ทะเลสาบเกี๊ยมอี๋ ตามที่เห็นชาวฮานอยเค้ายืนมุงกัน อากาศคืนนี้หนาวเย็นเป็นใจมาก เหมาะแก่การ countdown เป็นอย่างยิ่ง พอมองนาฬิกา ก็เที่ยงคืน เอ๊ะ ทำไมไม่มีใครนับเลขเลย ซักพัก ฝั่งตรงข้ามเลค มีการจุดพลุ 1 ลูก 1 ที แล้วก็หายไป 10 นาทีแล้วก็จุดอีก 1 ลูก หายไปอีก 5 นาทีเห็นข้าง ๆ จุดโอ่ง 3 โอ่ง (โอ่งเล็ก ๆ แบบที่บ้านเราเค้าจุดตอนสงกรานต์) จะเที่ยงคืนครึ่งแล้วไม่เห็นมี count down ซักที มองไปข้าง ๆ คนก็ทยอยกันขี่รถเครื่อง (มอเตอร์ไซด์) กลับกันแล้ว อ้าว ! ตกลงเสร็จแล้วเหรอ ? นี่หรือ Count down ที่พวกเราใฝ่ฝันกันไว้ตั้งแต่อยู่บางกอก ? ระหว่างเดินกลับโรงแรม ก็อวยชัยให้พรหนุ่มสาวชาวเวียดกันขนานใหญ่ ว่ามันจะแหกตาฝ่าความหนาวมาดูพลุ 2 ดอกกับโอ่ง 3 โอ่งทำอีหยังอะไรฟ่ะ นับเลขก็ไม่ยอมนับ .... 9 8 7 6 5 4 3 2 1 Happy New Year นี่แหนะ นับแทนให้เลย ..... รูปข้างล่างเป็นทะเลสาบเกี๊ยมอี๋ตอนกลางวัน



ท่านผู้อ่านอดทนหน่อย ใกล้จบเต็มแก่แล้ว เมื่อกลับถึงพี่พักประมาณตี 1 ฝ่า ๆ ก็ยังอวยคนเวียดกันไม่เลิกจนหลับคาเตียงมันนั่นแหละ วันรุ่งขึ้นเป็นวันกลับ คุณเล็กและพี่อ้วนผู้ยังไม่หายเมา ก็ขอบายอาหารเช้า ปล่อยให้พวกเราไปเผชิญชะตากรรมใยแมงมุมกันเอง 4 สาว(แก่ ๆ) เมื่อไปถึงร้าน ปรากฏว่าร้านยังไม่เปิด พวกเราจึงนั่งแท๊กซี่กะจะไปร้าน Papa Joe กันอีกรอบ ระหว่างทางรถติดไฟแดง มองตรงไปเห็นร้าน Little Hanoi พอดี จึงบอกแท๊กซี่ด้วยภาษาอะไรก็จำไม่ได้ว่าจะลงแล้ว พร้อมกระโดดลงมันหน้าร้านนั่นเลย ฟาดอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งเศสแล้วก็พากันไปเดินช๊อปปิ้ง แล้วค่อยกลับโรงแรมไปรับ 2 สามีภรรยาช่วงบ่าย และที่พวกเราสามารถไปไหนมาไหนกันแบบไม่หลงก็เพราะจี้จอยจำทางได้แล้ว รูปข้างล่างเป็นตึกใจกลางเมืองฮานอยที่อยู่ตรงหน้าทะเลสาบเกี้ยมอี๋

ก่อนไปสนามบิน พวกเราก็พากันไปเดินช๊อปปิ้งกันอีกรอบ แล้วก็นั่งรถถีบ ไปกินอาหารกลางวันภาคบ่ายที่ร้าน Au Lac อากาศหนาวมาก แต่ก็ยังกระแดะนั่งกินในสวนที่ต้องจุดไฟให้แขกที่มากินข้าวผิงกัน ร้านนี้ได้รับการเร๊คคอมเมนจาก lonely planet ว่ามีกาแฟที่อร่อยที่สุดในเมืองฮานอย พอกินกาแฟกันเข้าไปคำแรก อยากจะร้องกรี๊ด อร่อยมาก ๆ จริง ๆ ค่ะ กาแฟมีกลิ่นไหม้ ๆ หอม ๆ อร่อยสุด ๆ เมื่อดื่มด่ำกับกาแฟและอาหารกลางวันเสร็จก็กลับโรงแรมเพื่อเตรียมให้รถบัสมารับไปสนามบิน

ตอนแรกก็กะว่าจะจบแค่นี้ แต่ดันมีเหตุการณ์ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เหมือนกับว่าฮานอยมันรู้ว่าพวกเราจะไม่กลับไปหามันอีกแล้ว มันเลยทิ้งทวนเราซ่ะเลย ก็ไอ้ตอนที่นั่งรถบัสเล็กกลับ เฮียคนขับรถ ใส่แว่นเรย์แบนด์ ก็เปิดเพลงลูกทุ่ง version เวียดนามเสียงดังสนั่นเมือง เปิดไปก็ปาดซ้าย ปาดขวา เดี๋ยวก็เหยียบเบรค สลับกับเหยียบคันเร่ง แตรไม่ต้องพูดถึง กดทุก 5 วินาที เสียงแตรสลับกับเสียงเพลงลูกทุ่ง เพลิดเพลินอีหลี มารู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่า เอ๊ ! ทำไมเหมือนกับกาแฟ Au Lac ที่กินไว้มันจะกลับออกมา พอจะหันกลับไปถามพี่อ้วน ก็เห็นพี่อ้วนกำลังผลัดกันดมยาดมกับคุณเล็ก ส่วนเจ้ก็หมดสติหลับคาเบาะ พี่ปุ้นกับจึ้จอยผู้อึดเสมอต้นเสมอปลายก็กำลังดมยาดม สลับกับควานหาลูกอมมาอมกันให้จ้าละหวั่น โอ๊ย อะไรนี่เฮีย ต.ผ (ตีนผี) เป็นบ้าเปล่าเนี่ย ซักพักรถติดไฟแดง ข้าพเจ้าด้วยความที่นั่งหน้ากับเฮียคนขับ เลยใช้ความไร้มารยาทสุดขีด เอามือไปกดปิดเพลงเฮียมันเลย เอากันซึ่ง ๆ หน้านี่แหละ ไม่ขออนุญาตด้วย ใครจะทำไม แต่ระดับเฮียมีหรือจะยั่น เฮียไม่สนฮ่ะ แถมเฮียก็ไม่ว่าข้าพเจ้าด้วย แต่เฮียกลับทำแสบกว่าเดิม โดยร้องและฮัมเพลงลูกทุ่งเวียดให้พวกเราฟังสด ๆ เป็นระยะ ๆ ไม่น่าเลยตู ไม่น่าไปปิดวิทยุเฮียเลย เลยต้องมารับกรรมแบบ super กรรม..... ทนไปจนเห็นสนามบินนอยใบไกล ๆ ใจก็ชื้น ทุกคนเลยพากันข่มขู่พี่อ้วนก่อนลงจากรถว่า ถ้าพี่อ้วนทิปไอ้เฮีย ต.ผ. นี่ พี่อ้วนต้องโดนดีแน่ ๆ แล้วพี่อ้วนก็ไม่ทำให้เราผิดหวังพอรถขับเข้าไปในสนามบิน พวกเราแทบจะกระโดดลงจากรถก่อนรถจอดด้วยซ้ำ แล้วพวกเราก็พากันเดินสะโหลสะเหล๋ ไปเช็คอินกลับกทม. กันอย่างหมดสภาพ....เฮ้อ

เฮ้อ คือดีใจที่ได้ลงจากรถซ่ะที แล้วก็ดีใจที่เขียนจบซ่ะที

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

ว่าด้วยเรื่องของ Halong Bay


เมื่อซื้อทัวร์แบบ one day trip ไป Halong Bay ข้างร้านปลาหมึกปิ้งเป็นที่เรียบร้อย บริษัททัวร์ก็แสนดีบอกว่าจะเอารถบัสมารับพวกเราทั้ง 6 ที่หน้าโรงแรม แต่พวกเรากลัวน้องพนักงานโรงแรม จะน้อยใจที่เราไม่ยอมซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์กับน้อง ทั้ง ๆ ที่น้องได้เพียรพยายามมาขายทัวร์กับพวกเราทุกเช้า-ค่ำ ก็น้องเล่นเห็นพวกพี่ ๆ เป็นหมูนี่จ๊ะ ใคร ๆ เค้าก็ขายกัน 17-20 เหรียญ แต่น้องกะล่อพวกพี่ ๆ คนละ 25 เชียว แหม... เห็นพี่ ๆ อยู่ทุกวันแต่กลับจะทำกันได้ลงคอ ทีนี้พวกเราก็เลยต้องฝีนสังขารตื่นแต่เช้าเดินฝ่าความหนาวและเสียงแตรของเมืองฮานอยเพื่อเดินไปขึ้นรถบัสที่หน้าร้านทัวร์กัน

เมื่อไปถึงหน้าร้าน แทนที่เราจะได้ขึ้นรถบัสตามที่บริษัททัวร์ได้นัดแนะไว้ ก็กลับเจอน้องไกด์ชาวเวียดที่ดูสภาพเหมือนพึ่งตื่นนอนมาได้แจ้งว่าให้พวกพี่ ๆ เดินตามหนูมานะคะ หนูต้องขอเดินไปรับสมาชิกทัวร์อีก 17 ท่านที่นอนกระจัดกระจายอยู่ตามโรงแรมในละแวกแถว ๆ นี้เองค่ะ ไม่รู้ว่าด้วยความที่ตื่นเช้ามากเกินไปสมองเลยเบลอ ๆ หรือน้องไกด์มีคาถาอาคมดี พวกเราทั้ง 6 ก็เดินตามน้องไกด์ไปรับแขกตามโรงแรมต่าง ๆ อย่างว่านอนสอนง่าย โรงแรมที่ 1 ก็แล้ว ข้ามไปอีก 2 ถนน ไปโรงแรมที่ 2 ตัดไปอีก 2 ซอย ถึงโรงแรมที่ 3 4 5 ...จนได้แขกครบ 17 คน รวมพวกเราอีก 6 ก็เป็น 23 ตัว เป็นฝูงควายขนาดใหญ่ให้น้องไกด์ต้อนได้กำลังสะดวก

เมื่อได้ควายครบ 23 ตัว น้องไกด์ก็ต้อนควายทั้งฝูงไปที่ถนนใหญ่ บอกว่าให้พี่ ๆ (ควาย) รอตรงนี้นะจ๊ะ เดี๋ยวจะมีเกวียนขนาด 27 ที่นั่งมารับพวกพี่ ๆ ไปฮาลองเบย์ ด้วยความเป็นมือหนึ่งในด้านคณิตศาสตร์ ควายพี่อ้วนก็ได้ถามน้องไกด์ไปว่า แต่พวกเรามีกันแค่ 23 อีก 4 ที่นั่งก็ว่างหล่ะสิน้อง ? น้องก็ตอบกลับมาว่า ก็รวมคนขับ 1 ไกด์ 1 แล้วก็จะมีควายอีก 2 ตัวที่คนขับไปรับมาจากโรงแรมเรียบร้อยแล้ว รวมเป็น 27 ที่นั่งพอดีจ๊ะ.... ควายพี่อ้วนเมื่อได้ยินคำตอบก็สบายใจที่สามารถบวกลบคูณหารสูตรคณิตศาสตร์ได้ลงตัว

ขณะที่รอเกวียนมารับบริเวณริมถนนใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งร้านขายเฟอร์นิเจอร์ใหญ่สุดในเมืองฮานอย ควาย 23 ตัวก็เดิน และยืนกันเปะปะ ไปบังหน้าร้านเค้าบ้าง ไปส่องกระจกจากโต๊ะเครื่องแป้งเค้าบ้าง จนน้องไกด์เห็นท่าไม่ดี รีบเรียกประชุมควายและแจ้งว่า กรุณาย้ายไปกระจุกรวมตัวกันที่หน้าทางม้าลายจะดีกว่า เพราะพ่อค้าชาวเวียดนามถือมากถ้าจะถูกบังหน้าร้านในตอนเช้า เพราะอาจหมายถึงโชคร้าย ทำให้ทำมาค้าขายไม่ขึ้นในวันนั้น ... ควายจีเนียสอย่างพี่อ้วน ผู้พร้อมเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ที่จะทำให้พวกเราได้ขึ้นไปเลือกที่นั่งเมื่อเกวียนมาจอดได้ก่อนใคร จึงรีบจัดแถวตอน 2 เรียงอยู่หน้าทางม้าลาย โดยพี่อ้วนได้เอาพี่ปุ้นและตัวเองเป็นต้นแถว ตามด้วยจี้จอย กับเจ้เป็นแถว 2 และข้าพเจ้ากับคุณเล็กเป็นแถว 3 ควายตัวอื่นพอเห็นควายแถวคู่ ก็รีบเข้ามาเรียงต่อแถวตามจนได้แถวตอน 2 ยาวสวยงามเหมือนแถวเด็กประถมเตรียมร้องเพลงชาติตอน 8 โมงเช้า

ยืนได้ซักพัก ก็เริ่มสังเกตุเห็นว่ารถราที่วิ่งผ่านไปมาแทบทุกคัน ต้องเหลียวกลับมาฉงนกับแก๊งค์แถวคู่ควายประถมของทัวร์เราเป็นอย่างมากว่ามายืนทำอะไรกัน ทำไมถึงได้เป็นระเบียบเรียบร้อยผิดวิสัยชาวเวียดนาม ที่สำคัญ หัวหน้าหมู่คือพี่อ้วนกับพี่ปุ้น ถึงแม้จะไม่ได้ถึอไม้ 3 ง่ามติดธงนกกางเขน แต่ก็ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ผ้าพันคอสีรุ้งเป็นที่ดึงดูดสายตาแก่รถรา และคนที่ผ่านไปมาในบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก หัวหน้าหมู่ของเราทั้งสอง แทนที่จะรู้สึกเขินอายที่ถูกจ้องมอง กลับดูจะภาคภูมิใจกับตำแหน่งที่พึ่งได้ปราบดาภิเษกด้วยตัวเองเป็นอย่างมาก อ่ะ มีรูปประกอบแล้ว โปรดดูคนตัวเตี้ยสุด 2 คน ที่ใส่เสื้อกับผ้าพันคอสีแร่ดสุด

แต่คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต เมื่อรถบัสแล่นมา กลับไม่ได้มาจอดแทบเท้าหัวหน้าหมู่ทั้ง 2 แต่ดันทะลึ่งจอดก่อนหน้าประมาณ 15 เมตร ทันใดนั้นเอง ควาย 23 ตัวก็ได้แปลงร่างเป็นนักวิ่ง 100 เมตรทีมสารพัดชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาติไทย จีน มาเลย์ ฮ่องกง หรือแม้แต่ชาติเวียดนามเอง... วิ่งกรูกันขึ้นรถบัสเพื่อจะได้จองที่นั่งที่ดีที่สุด หัวหน้าหมู่ทั้ง 2 ของเราแม้ดูจากสรีระภายนอกจะเสียเปรียบคู่ต่อสู้ชาติอื่น แต่ก็อาศัยจังหวะชุลมุน ใช้สรีระอันสั้น และกระทัดรัดให้เป็นประโยชน์ มุดลอดจักกะแร้ใครต่อใคร เข้าเส้นชัยเกือบเป็นอันดับ 1 สามารถเข้าไปจองที่บนรถบัสให้เพื่อน ๆ 4 ตัวที่แม้จะตัวสูงเหมือนยักษ์วัดแจ้ง แต่ก็กลับไร้สมรรถภาพในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตร นานาชาติโดยสิ้นเชิง เฮ้อ....ถ้าไม่ได้พี่อ้วนกับพี่ปุ้น งวดนี้พวกเราคงต้องนั่งรถ 4 ชั่วโมงไปฮาลองเบย์บนที่นั่งที่ไม่มีที่พิงหัว... คงจะทรมานน่าดูเชียวแหละท่านผู้ชม....

เมื่อรถแล่นถึงฮาลองเบย์ตอนเที่ยงฝ่า ๆ พวกเราก็ถูกคุณน้องไกด์ต้อนมารอขึ้นเรือ เมื่อเรือออกจากท่า ความสวยงามของฮาลองเบย์ก็ได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา.... โปรดดูรูปประกอบข้างล่าง
ล่อง ๆ ไปน้องไกด์ก็แจ้งว่าเรากำลังจะแวะที่กระชังปลา ที่นั่นพวกพี่ ๆ สามารถเลือกซื้ออาหารทะเลสด ๆ ในกระชัง เช่นกุ้ง กั้ง ปลา ปู ปลาหมึก แล้วทางพ่อครัวบนเรือเราจะปรุงให้พี่ ๆ รับประทานแบบ free of charge ( free of charge เฉพาะค่าปรุงนะจ๊ะ ค่าสัตว์น้ำ คิดราคาตามจริงเป็นกิโล ๆ จ๊ะ) พวกเราพอได้ยินก็ได้แต่ซู๊ดปาก...สู้ตายค่ะ จะเอากั้งกี่โลดี เอาปลาไซส์ไหนดีเอ่ย ? โอ้โห ปลาหมึกขนาดใหญ่หยั่งกะลูกรักบี้ มันกินอะไรเข้าไปทำไมตัวโตจัง ? ขณะที่พวกเรากำลังคิดสาระตะกันอยู่ ก็เห็นชาวประมงช้อนปลาหมึกขนาดลูกรักบี้ขึ้นมา 1 ตัว วางไว้บนพื้น ปลาหมึกก็ดิ้นกระแด่ว ๆ นิด ๆ แต่ทันใดนั้น ชาวประมงอีกคนไม่รู้โผล่มาจากไหน เอาไม้หน้าสามฟาดไปที่กลางตัวปลาหมึกอย่างแรงดังป๊าบ...ปลาหมึกสลบเหมือด พร้อมหมึกสีดำกระฉูดท่วมพื้น พวกเราทุกคนได้แต่มองหน้ากันด้วยความสยดสยอง แล้วใครก็ไม่รู้พูดขึ้นมาว่า "ใครจะกินก็กินเถิด ข่อยไปก่อนเด๊อ..." แล้วทุกคนก็พากันเรียงแถวตอน 1 ปีนกลับขึ้นเรือ พร้อมเสียงพึมพัมเป็นระยะ ๆ ว่า ไม่กงไม่กินมันแล้ว ไปกินผักบนเรือก็ได้ว่ะ โหดเป็นบ้าเลย ทำไมมันต้องฟาดปลาหมึกด้วยว่ะ มิน่ามันถึงกล้ากินหมา เฮ้ย รู้รึเปล่า มันกิน little tiger ด้วยนะเฟ้ย... ฯลฯ .... รูปข้างล่างเป็นรูปเรือแจวขายผลไม้ที่มา
ขายแถว ๆ กระชัง



เมื่อขึ้นเรือก็รับประทานอาหารกลางวันที่น้องไกด์ได้เตรียมไว้ให้ลูกทัวร์ทุกคนบนเรือ จี้จอยรับอาสาไปซื้อ Bia Hanoi กับ เป๊บซี่ที่ครัวท้ายเรือ ปรากฏว่าเรือเราโลเทค ไม่มีถังน้ำแข็ง จี้จอยผู้ถือคติกำขี้ดีกว่ากำตด จะกลับมามือเปล่าก็จะกระไรอยู่ ก็หลับหูหลับตาซื้อเบียร์กับเป๊ปซี่ที่ไม่เย็นมา 2-3 กระป๋อง แล้วใครจะไปกินได้หล่ะอีจอย ? มองไปมองมาเห็นเรือที่จอดอยู่ลำข้าง ๆ ดูหรูหรากว่าเรือเรามาก และน่าจะไม่โลเทคเท่าเรือกระป๋อง ๆ ของเรา จี้จอยผู้อยากทำความดีไถ่โทษ จึงข้ามน้ำข้ามทะเล ปีนป่ายไปเรือข้าง ๆ ทำทีตีซี้กับพ่อครัวพร้อมขอซื้อเบียร์ และเป็ปซี่ ได้ผล เรือของเขาดีจริง ๆ ทั้งเบียร์และเป็บซี่เย็นเจี๊ยบ จี้จอยเลยฮึกเหิม ได้คืบจะเอาศอก เอาเบียร์กับเป๊ปซี่ที่ไม่เย็นของเราไปขอทำ barter trade กับเบียร์และเป๊บซี่เย็นเจี๊ยบของอาเฮียพ่อครัว.... ไม่รู้พ่อครัวเมาคลื่น เมาปลาหมึก หรือเมาหมา กลับยอมแลกโดยง่ายดายแถมไม่คิดค่า commission ซักกะดอง... ผิดวิสัยชาวเวียดเป็นอย่างมาก
(ขอหมายเหตุนิดนึง อีพี่อ้วนมื้อนั้นฟาดเบียร์ไป 6 กระป๋อง (โปรดดูสภาพจากรูปประกอบ) พี่ปุ้นรู้สึกจะ 4 คุณเล็กจำไม่ได้ ส่วนข้าพเจ้า เจ้ และจี้จอยฟาดไปคนละ 1 กระป่อง แต่เป็นเป๊ปซี่ไม่ใช่เบียร์)

กินข้าวเสร็จ ล่องเรือไปมา มุดถ้ำลอด ปีนเขาหิน ทำทุกธุรกิจ และทุกกิจกรรมที่น้องไกด์สรรหามาให้ ก็ได้เวลาเข้าฝั่งนั่งรถบัสกลับฮานอย ขากลับมีรถตู้มาเพิ่มอีก 1 คัน ทำให้หัวหน้าหมู่นกสาลิกาอย่างพี่อ้วน และพี่ปุ้นไม่ต้องออกแรงมุดจักกะแร้ใครต่อใครเหมือนขามา เมื่อขึ้นรถ ทุกคนก็พร้อมใจกันยิงยาว (นอนยาว) 4 ชม. รวดจากฮาลองเบย์ จนถึงฮานอย ระหว่างที่ทุกคนพร้อมใจกันยิงยาว กลับมีคนนึงที่ไม่ยอมยิงเลยก็คือเจ้ เจ้นั่งตาโต ไม่มีท่าว่าจะอยากหลับนอน จึงได้แต่สันนิษฐานว่า สาเหตุอาจจะเป็นเพราะผู้โดยสารชายหนุ่มชาวจีนวัยกลางคนที่นั่งติดสีข้างด้านขวาของเจ้ โดยเจ้อาจกลัวว่าถ้าเจ้เผลอหลับไปเมื่อใด คงต้องเผลอไปซบที่หัวไหล่อวบ ๆ ของอาเฮียเอาได้ ดูจากระยะไกล 50 เมตร ก็เห็นแล้วว่าศีรษะอาเฮียอยู่ในช่วงฤดู winter มีหิมะโปรยปรายเป็นระยะ ๆ คิด ๆ แล้ว หิมะของเฮีย ก็สยดสยองไม่แพ้กับการฆาตรกรรมปลาหมึกเมื่อช่วงกลางวันเลย

เมื่อถึงฮานอยเวลา 3 ทุ่ม พวกเราก็พากันเดินไปกินอาหารที่ร้านเวียดนามชื่อดังบนสวนขนาดใหญ่ เมื่อเดินไปถึงน้องสาวคนเสริฟ์กลับบอกหน้าตาเฉยว่า ร้านปิดแล้วค่ะพี่ อาหารก็หมดแล้วด้วย เอ๊ะ ! น้องนี่ยังไง ก็คนยังเต็มร้าน บางโต๊ะเหมือนพึ่งมา บางโต๊ะกำลังอ่านเมนูเหมือนกำลังจะเริ่มสั่ง น้องอย่ามาโกหกพี่เลย พวกพี่ ๆ เลยเดินดุ่ม ๆ ไปดูตามซุ้มต่าง ๆ อาหารก็เยอะแยะ หมดยังไง พี่ไม่เข้าใจน้อง ? ขณะที่วงปี่พาทย์กำลังจะเริ่มบรรเลง ก็มีน้องสาวอีกคนมาช่วยเราทั้ง 2 ฝ่ายไว้ (คือช่วยให้พวกเราได้กิน และช่วยให้น้องคนนั้นไม่ถูกพวกเราด่า) น้องคนใหม่นี้บอกว่า ร้านใกล้จะปิดแล้ว ถ้าพี่จะสั่งอะไรก็ขอให้รีบสั่งตอนนี้เลยค่ะ จ๊ะ ให้มันได้อย่างนี้สิน้อง... พวกเราก็พากันเดินไปสั่งอาหารเวียดนามสารพัดอย่างตามซุ้มต่าง ๆ ยิ่งสั่งยิ่งมันส์ พอถึงซุ้มสุดท้ายทุกคนพากันเงียบหมด ไม่มีใครสั่ง เพราะมันเป็นนกกระทาย่าง ตัวอวบ ๆ แต่เล็กกว่าฝ่ามือ ที่เด็ดไปกว่านั้นคือไม่ตัดหัวออก มองเห็นหัวเกรี๋ยนมันใสแหน่ว ข้าพเจ้าจึงถามว่า มีใครจะกินนกบ้าง ? เจ้รีบบอกว่าไม่เอา เจ้ไม่กินพวกเดียวกัน พี่อ้วน กับจี้จอยก็ทำหน้าไม่สู้ มีแต่พี่ปุ้นที่ทำเป็นตอบเสียงเบา ๆ เหมือนจะไม่กินว่า "พี่เอาตัวนึง" 555555 สรุป ข้าพเจ้า 1 พี่ปุ้น 1 รวมเป็น 2 นกกระทา จุ๊กกรู จุ๊กกรู

เมื่อนก 2 ตัวถูกนำมาเสริฟ ก็มีข้าพเจ้า พี่ปุ้น และคุณเล็ก 3 คนเท่านั้นที่ไม่กลัวไข้หวัดนก กินไปแทะไป โดยเฉพาะพี่ปุ้น ถึงกับชมว่า นกมันอวบดีเน๊อะ เนื้อก็แน๊น แน่น พอพวกเรากำจัดนกเสร็จจนเหลือแต่ซี่โครง ก็หั่นเฉพาะหัวนก แอบเอาไปวางไว้บนจานเจ้ตอนเจ้เผลอ .... 555555 จะเหลือเหรอจ๊ะ ไอ้เจ้พอเห็นหัวนกก็ด่าเช็ด...

จบเรื่องของ ฮาลองเบย์แล้ว ยิ่งเล่ายิ่งมันส์ .... ขอพักซักวัน สองวัน แล้วจะมาเล่าต่อนะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2551

ไป Hanoi มา (ภาค 3)

เมื่อคืนไปตะลุยราตรีฮานอยมา โดยมี destination ที่หมายมั่นปั้นมือไว้ตั้งแต่อยู่บนเครื่อง คือ Cafe 69 อย่าอ่านว่า คาเฟ่หกสิบเก้านะจ๊ะ เดี๋ยวจะเชย โปรดอ่านว่า คาเฟ่ซิกตี้นาย เป็นคาเฟ่ที่ฮิปมาก ๆ ที่ได้รับการยืนยันและกล่าวถึงโดย lonely planet
และจากการที่ได้ไปท่องเที่ยวมาหลาย ๆ ที่ ทำให้รู้ว่านอกเหนือจากบุพการี ครูบาอาจารย์ ญาติสนิท มิตรสหายผู้มีพระคุณแล้ว ก็มี lonely planet อีกอันหนึ่งที่ไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวัง

ระหว่างทางเดินจากโรงแรมไปคาเฟ่ 69 คุณเล็กผู้ซึ่งกำลังใกล้จะแปลงกายเป็นชาวเวียดเต็มตัวก็ยังหลง ๆ งง ๆ อยู่ ลองนึกดูถ้าคุณเล็กหลง แล้วบรรดาเพื่อนเมีย และเมียมีหรือจะเหลือ... แต่กระนั้นก็ยังมีจี้จอยที่พยายามจะช่วยคุณเล็กอ่านแผนที่ แต่ยิ่งพยามอ่านเท่าไหร่ ก็กลับยิ่งหลงขึ้นเท่านั้น สุดท้ายพวกเราก็ต้องใช้ไม้ตายขั้นสุดท้ายคือการใช้ปากถามทาง แต่ก็เหมือนมีกรรมมาบัง ชาวพี่เวียดฟังภาษาอังกฤษสำเนียงพี่ไทยของพวกเราไม่ออก แต่กระนั้นพวกเราก็กลับสนุกสนานกับการเดินท่องเที่ยวชมแสงสีในยามราตรีของฮานอยเป็นอย่างมาก อาการหนาว เดินเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อย หลงก็หลงไป ไม่เป็นไร เดินไปก็เม้าท์กันไป โน่นก็ขำ นี่ก็ตลก เดินไปได้ซักชั่วโมง อ้าวนั่นnight market นี่หว่า... ไม่สนแล้ว คาฟ่งคาเฟ่ เดินช๊อปปิ้งมันส์กว่า

เดินได้ซักพัก พี่ปุ้นก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่ไหวแล้ว น้ำตาลในเลือดต่ำ หาอาหารกินกันเถิด" ทุกคนจึงได้สติ เออแฮ่ะ ตั้งแต่ 4 โมงจนนี่จะ 5 ทุ่มแล้ว ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลย "เล็ก ๆ เร็ว ๆ ไปหาคาเฟ่ 69 ต่อ " อ้าว เป็นความผิดของเล็กหรือนี่ ? ก็เล็กกำลังหาอยู่ พวกเราก็กลับล้มเลิกเพราะเจอ night market เข้ากลางทาง สุดท้ายคุณเล็กก็สามารถหา คาเฟ่ 69 ได้เมื่อเวลา 5 ทุ่มตรง เมื่อเข้าไปในร้าน พนักงานก็บอกว่า ครัวปิดแล้ว ขายแต่เครื่องดื่ม แต่ถ้าพี่อยากจะกินอาหารหนูจะไป outsource ร้านข้าง ๆ มาให้ โอ้โหน้อง.... หลักแหลมมาก เอาก็เอา ดึกแล้ว พี่ไม่พึ่งน้องแล้วพี่จะไปพึ่งใครได้ แต่น้องก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง อาหารเวียดนามเมนูธรรมด๊า ธรรมดาที่เราสั่งกันไปเช่น Fried Noodle with Eggs and Veggie, Egg Fried Rice, และ Chicken Noodle Soup นั้น เมื่อกินพร้อมกับ Bia Hanoiแล้ว รสชาดอาหารธรรมดากลับสะเด็ดสะเด่าจริง ๆ (คำว่า Bia Hanoi ไม่ได้สะกดผิดนะจ๊ะ เค้าเขียนของเค้าอย่างนี้จริง ๆ) ถ้าไม่เชื่อโปรดดูรูปได้

เมื่อกินได้สุขสมใจ ก็พากันเดินกลับที่พัก วันรุ่งขึ้นก็พากันตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งแท๊กซี่ไปสุสานลุงโฮ (โฮจิมินท์) แท๊กซี่ที่เวียดนามมี 2 ขนาด คือเล็ก ๆ เหมือนวีออส กับใหญ่เหมือน อินโนว่า พวกเรา 6 คนรอคันใหญ่ไม่มา จึงเรียกคันเล็ก 2 คัน แบ่งไปคันละ 3 คน แค่นั่งแท๊กซี่พี่เวียดแค่นี้ฤทธิ์ก็ออกแล้ว ระยะทาง 2 คันเท่ากันเด๊ะ แต่พอถึงตอนจ่ายเงิน คันแรก 3 หมื่นดอง แต่อีกคัน 9 หมื่นดอง อะไรว่ะเนี่ย ? เจ้ผู้แม้จะแบแต่ก็ฉลาดปราดเปรื่องไม่แพ้ใครได้ให้ข้อสังเกตุว่า แท๊กซี่คันหลัง มิเตอร์มันคงอยู่ที่ตีน พอขับ ๆ เห็นพวกเราเผลอชมนกชมไม้ ก็กระทืบเอา กระทืบเอา พอถึงที่ก็ 9 หมื่นดองพอดี เออ... ไอ้เจ้นี่เก่งแฮ่ะ เข้าใจผูกเรื่อง ข้างล่าง
คือรถแท๊กซี่ตัวแสบ รูปนี้คุณเล็กถ่ายก่อน ประหนึ่งจะรู้ว่ามันจะทำเราแสบ


พอถึงสุสานลุงโฮอันใหญ่โตมโหฬารที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์การกู้ชาติอันยิ่งใหญ่เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเวียดนาม ข้าพเจ้าจะขอไม่เล่าต่อเนื่องด้วยว่ามันมีสาระจนเกินไป เนื่องจากข้าพเจ้าทราบว่าอะไรที่มีสาระมาก ๆ แฟน ๆ ผู้อ่านของข้าพเจ้ามักไม่นิยม

ขอเล่าข้ามไปช่วงที่เดินชมสุสานลุงโฮดีกว่า นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวเวียดจะถูกทหารหาญชาวเวียดนามต้อนหน้าต้อนหลัง ให้เดินเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้แตกแถวหรือย้อนศร เป็นที่สังเกตุว่าชาวคณะพักผ่อนหย่อนใจของเราจะถูกทหารหาญต้อนบ่อยเป็นพิเศษกว่านักท่องเที่ยวคณะอื่น แม้ลูกศรเลี้ยวขวาจะชี้ให้เห็นอยู่ตำตา พวกเราก็พร้อมใจกันทะลึ่งเลี้ยวซ้าย แม้มีป้ายเขียนให้เดินชิดซ้าย พวกเราพี่ไทยเราก็ทะลึ่งเดินชิดขวา เป็นเหตุให้ทหารหาญถึงกับต้องตะโกนออกมาเป็นภาษาเวียดนาม อันเป็นเหตุให้เราต้องรีบทำตามกฏอย่างเคร่งครัด นี่ถ้าไม่เห็นว่าเฮียคาดปืนอันมหึมาอยู่ที่เอว ฝันไปเถอะเฮียว่าพวกเราจะเชื่อฟังตามที่เฮียตะโกนหน่ะ ! ดูจากรูป ตึกสีเทา ๆ ที่มีเสาข้างหลัง อันนั้นแหละสุสานลุงโฮ


เมื่อชมสุสานและบ้านลุงโฮเสร็จ ก็พากันไปรับประทานอาหารกลางวันกัน (เรื่องอาหารการกิน เดี๋ยวจะเขียนขึ้นมาอีกตอนนึงเพื่อ Review ร้านอาหารล่ะกันนะท่านผู้อ่าน) เมื่อหนังท้องตึง หนังตาคุณเล็กก็เริ่มหย่อน คุณเล็กก็เริ่มงอแง อยากจะ siesta นอนกลางวันเลียนแบบชาวเวียด แต่มีหรือที่พวกเราจะยอม ไม่มีคุณเล็กแล้วพวกเราจะมีปัญญาที่ไหนออกไปหากิน คุณเมียก็รู้หน้าที่ หลอกล่อให้คุณสามีสู้ ๆ และอดทน หันหนีจ๋า หันหนีจ๊ะ สุดท้ายช่วงบ่ายพวกเราก็พากันไปดูการแสดงหุ่นกระบอกน้ำอันเลื่องชื่อของชาวเวียดนามเหนือ (water puppets) พอถึงช่วงดูการแสดง โรงละครชั้นดีที่ทั้งมืดและเย็น ก็กลับแปลงกายเป็นที่นอนของบรรดาแก๊งค์เงียบเป็นหลับ ขยับเป็นแดก แยกเป็นหลง ลงเป็นเยี่ยวของพวกเรา จะว่าไปก็มีแต่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่เพลิดเพลินจำเริญใจเป็นอย่างมากกับ water puppets เมื่อถึงฉากไคล์แมกซ์ มีการตบมือดีใจของคนดูทั้งโรง ก็หวังว่าจะหาเพื่อนแชร์ความสนุกด้วยกัน แต่เมื่อหันไปมองกลับเจอแต่เพื่อน ๆ พี่ ๆ ทั้ง 5 กำลังเล่นเกมส์ซ่อนตาดำกันอยู่ด้วยความเมามันส์ไม่แพ้การแสดงของหุ่นกระบอกน้ำเลย.... ให้ตายเถิด

เมื่อทั้ง 5 คนตื่น ซึ่งก็คือเมื่อการแสดงจบ พวกเราก็พากันไปกินข้าวเย็น และซื้อทัวร์เพื่อไปล่องเรือที่ Halong Bay ในวันรุ่งขึ้น ข้างร้านทัวร์มีร้านขายปลาหมึกปิ้งกลิ่นหอม ยั่วยวนใจยิ่งนัก พวกเราซึ่งถือคติว่า when in Rome, do as Romans do ก็แปลงกายเป็นชาวเวียดกันทันที โดยสั่งปลาหมึกปิ้งมา 1 ตัว มานั่งล้อมวงกินกันหน้าร้าน เก้าอี้นั่งก็เป็นเก้าอี้เตี้ย ๆ เหมือนเก้าอี้นั่งในส้วม ตอนพวกเราสั่งปลาหมึกที่หน้าร้าน คุณป้าเจ้าของร้านใช้ภาษาใบ้ชี้ให้เราเลือกว่าจะเอาตัวไหน พอเลือกเสร็จก็ถามคุณป้าว่าราคาเท่าไหร่ คุณป้าอัจฉริยะที่ถึงแม้จะพูดภาษาปะกิตไม่ได้เลย ก็เปิดเก๊ะ หยิบแบ๊งค์ 2 หมื่นมาโบกให้เราดู พวกเราก็จ่ายเงินไป 2 หมื่น พอคุณป้าหยิบเงินใส่เก๊ะ ก็เอามือเดิมหยิบปลาหมึกที่เราเลือกไว้ ส่งไปให้คุณป้าคนปิ้ง

คุณป้าคนปิ้งก็เอาปลาหมึกไปปิ้งกับเตาถ่าน ปื้งไปกลับไปจนปลาหมึกเกรียม โดยคุณป้าได้เอาตัวปลาหมืกจิ้มลงไปในถ่านดำ ๆ แดง ๆ ตรง ๆ จะว่าไปคุณป้าคนปิ้งก็เป็นอัจฉริยะ เพราะถ้าจิ้มปลาหมึกกับถ่านโดยตรง มันก็จะเกรียมไวกว่าปิ้งห่าง ๆ (ความสะอาดอนามัย ต้องลืมไปก่อนไม่งั้นเดี๋ยวจะกินไม่ลง) ปิ้ง ๆ อยู่ ถ่านเริ่มหมด คุณป้าก็เอามือล้วงเข้าไปในถุงถ่าน เอาถ่านใส่เตาแล้วปิ้งต่อ พอคุณป้าปิ้งเสร็จ ก็เอามือเดิมที่จับถ่านมาจับปลาหมึกเกรียม ๆ ส่งให้เฮียอีกคนนำปลาหมึกไปทุบต่อ อุปกรณ์ในการทุบก็คือหนังสือเรียนไว้รองทุบ และ ค้อนปอนด์ หรือจะเรียกง่าย ๆ ก็คือค้อนที่เตี่ยใช้ตอกตะปูติดฝาบ้านหน่ะเอง เป็นค้อนหัวเหล็ก เมื่อใช้เสร็จก็วางไว้กับพึ้นทางเดินมันนั่นแหละ

เอารูปปิ้งข้าวโพดมาให้ดูเป็นตัวอย่างก่อนว่าปิ้งแบบจิ้มมันลงไปเลยเนี่ย มันหมายฟามว่าอย่างนี้แหละพี่น้อง

ส่วนกระดาษหนังสือเรียนตอนแรกพวกเราเห็นกันไม่ชัด ก็พากันบอกว่าแม่ง เฮียเล่นทุบกับหนังสือพิมพ์เลยเนี่ยนะ แต่ด้วยความที่จี้จอยตาไว ก็บอกว่า ไม่ใช้เฟ้ย เป็นหนังสือเรียนต่างหาก กินปลาหมึกแล้วฉลาดคงน่าดู แต่เจ้ด้วยความตาดีกว่าก็บอกว่าเป็นหนังสือเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ยิ่งกิน ยิ่งอัจฉริยะ ทุบ 1 ตัว ก็เปลี่ยน 1 หน้า ทุบไปทุบมากระดาษกลืนเข้าไปในตัวปลาหมึก ก็เปลี่ยนอีก 1 หน้า ... ขออภัย ชักนอกเรื่องไปเยอะ...พอเฮียทุบเสร็จ เฮียก็เอามือหยิบปลาหมึกไปให้พี่สาวอีกคนนำไปฉีกให้เป็นฝอย ๆ ฟู ๆ พี่สาวก็ฉีกเอาฉีกเอา ฉีกไปฉีกมาก็ทำหนวดปลาหมึกหล่นบนพึ้นทางเดิน พี่สาวก็หยิบหนวดมาวางบนจานพลาสติกอย่าง ชิล ๆ หน้าตาเฉย ฉีกเสร็จ ก็นำมาส่งให้ที่เก้าอี้ยอง ๆ ของพวกเรา
พวกเราก็กินกันสู้ตาย ไม่เหลือซาก ยิ่งกินยิ่งคึก ยิ่งรำลึกถึงกระบวนการผลิตยิ่งเคี้ยวเพลิน มิน่า ปลาหมึกถึงได้รสชาดกลมกล่อม เค็มนิด ๆ กำลังดี เคี้ยวไปเคี้ยวมา ก็สั่ง Bia Hanoi มากินแกล้ม โอ๊ย... สวรรค์แต๊ ๆ

ปล. จากกระบวนการผลิตปลาหมึก ขอสรุปว่าอุปกรณ์ที่สะอาดที่สุดในการผลิตคือพี้นทางเดิน

คราวหน้าเราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของ Halong Bay ดีกว่า

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

ไป Hanoi มา (ภาค 2)

อ่ะ มาต่อ ๆ เนื่องจากภาคแรกได้รับการตอบรับจากท่านผู้อ่านเป็นอย่างดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการกระหน่ำมาทางอีเมล์ หรือทางโทรศัพท์ ภาคนี้ข้าพเจ้าจึงต้องเพิ่มความพยายามอย่างเต็มที่ ๆ จะไม่ทำให้ผู้อ่านทุก ๆ ท่านผิดหวัง

เมื่อแลนดิ้งถึงสนามบินนอยใบ ทุกคนก็ตื่นเต้นกับความหนาวเย็นเหมือนกับเกิดมาชาตินี้ไม่เคยพบเคยเห็นอากาศหนาว เดินผ่านเจอรูปอาหารเวียดนามที่สนามบินก็กิ๊วก๊าว กิ๊วก๊าว ว่า ไอ้นั่นก็น่ากิน ไอ้นี่ก็น่ากิน ระหว่างที่พวกเรากำลังเมามันกับกับอากาศหนาว และจินตนาการถึงอาหารที่จะกิน พี่อ้วนก็สั่งให้พวกเราไปที่รอที่สายพานรับกระเป๋า แล้วพี่อ้วนจะออกไปก่อนเพื่อเอาเงินดอลล่าห์ไปแลกเงินดอง และซื้อ"ซิมการ์ด" แค่ได้ยินคำว่าซิมการ์ด พี่ปุ้นก็ทำเสียงร้อนรนว่า "กระป๋งกระเป๋าใครจะเอาก็เอาไป พี่ปุ้นจะต้องไปเป็นเพื่อนน้องหมูตามหาซิมการ์ดก่อน " และแล้ว 2 คนก็กระวีกระวาดออกไปข้างนอก ปล่อยให้พวกเรา 4 คนรอรับกระเป๋าที่สายพาน

ระหว่างที่กระเป๋ายังไม่มา พวกเราก็ยืนเม้าท์กันว่า นั่นสีเขียวกระเป๋าของเจ้รึเปล่า? นั่นสีส้มแร่ดมาก ๆ ใบโต ๆ เป็นของอีหมูชัวร์ ๆ ยืนไปเดาไปจนกระเป๋ามาครบ 6 ใบก็ค่อย ๆ เข็นกระเป๋าออกมา ก็เจอพี่อ้วนรออยู่แล้วกับพี่ปุ้นที่กำลังทำหน้าสุขสมอารมณ์หมาย... เพียงแค่เพราะว่าได้ตามหาซิมการ์ดเวียดกงได้สำเร็จ ทันใดนั้นเองพี่อ้วนก็ตะโกนถามว่า "หาลูกค้าได้ยัง ?" ฉิบหายแล้ว... ลืมค่ะ ก็มัวแต่เดากระเป๋าสีนู้นสีนี้อยู่กับเจ้ จอย และคุณเล็กจนลืม mission ที่พี่อ้วนสั่งไปเลย

mission ที่ว่ามันมีอยู่ว่า ก่อนที่พี่อ้วนจะทำชั่ว พี่อ้วนโคตรฟิตไปจองเหมาให้รถมินิบัสขนาด 18 ที่นั่ง มารับพวกเราจากสนามบินไปส่งที่โรงแรม เนื่องจากพี่อ้วนเป็นผู้มีวิชั่น และรู้จักพวกเราทุกตัวตนเป็นอย่างดี เห็นว่าถ้าขืนปล่อยพวกเราทั้งหมดที่ทั้งขี้เกียจ ขี้แบ และขี้รำคาญไปตามหาแท๊กซี่กันเอง ก็คงต้องโดนพี่เวียดขี่ช้างเอาแน่ ๆ
และเนื่องจากรถเราบรรจุได้ 18 คน ในขณะที่พวกเรามีกันแค่ 6 คน พี่อ้วนสมองใสก็สั่งว่าเราควรจะเซ็งลี้หาลูกค้ามานั่งรถเราเพิ่ม เพื่อเป็นการประหยัดน้ำมันให้เข้ากับเทรนโลกร้อน และเพิ่มพูนเงินในกระเป๋าของพวกเราที่ถึงแม้จะปากมาก แต่ก็เบี้ยน้อย และหอยน้อย... โดยลูกค้าที่พี่อ้วนหมายมั่นปั้นมือสั่งให้พวกเราหาก็คือคนที่ร่วมเดินทางบนนกแอร์ 3 บาทกับเรานั่นแหละ
ตอนพี่อ้วนถามว่าหาลูกค้าได้รึยัง พวกเราก็ตาลีตาเหลือกมองหาลูกค้ากันใหญ่ เดินเข้าไปถามกลุ่มน้องคนไทย 4 คน น้อง ๆ ก็บอกว่ามีรถมารับแล้ว อ้าว ! ความมั่นใจพวกเราเริ่มถดถอย จนเล็งเห็นพี่ ๆ ผู้หญิงวัยกลางคน 3 คน ดูลักษณะก็แล้ว ดูซ้ายดูขวาก็แล้ว ดูยังไง ๆ ก็เป็นคนไทยที่ไม่เคยมาเวียดนามแบบชัวร์ป๊าบ ๆ พวกเราจึงเดินเข้าไปถามว่า "พี่ค่ะพี่ค่ะ พี่มีรถมารับรึเปล่าค่ะ? ถ้ายังไม่มีไปกับพวกเราไม๊ค่ะ? พวกเรามีรถคันใหญ่ค่ะ พี่ไปกับเราได้สบาย เราคิดพี่คนละ 2 ดอลล่าห์เองค่ะ" พอพี่ ๆ วัยกลางคนทั้ง 3 โอเคซิกาแร๊ต พวกเราก็ดีใจกันขนาดใหญ่ที่สามารถทำงานใหญ่ที่พี่อ้วนสมองใสย้ำนักย้ำหนาได้สำเร็จ (แม้ว่าพี่อ้วนจะบอกให้เราหาลูกค้าให้ได้ 8-10 คน แต่แค่ 3 คนเท่านี้ เราก็รู้สึกประหนึ่งเหมือนหาไปได้แล้วเท่ากับรถบัส 2 คัน) ก่อนเล่าต่อ ขอเอารูปรถเครื่องหลุยส์ วิตตง มาให้ดูกันก่อน รถเครื่องแบบนี้มีหลายยี่ห้อมาก ไม่ว่าจะเป็นกุชชี่ หรือหลุยส์ วิตตง

แต่... เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนหน้าด้านอย่างพวกเรา ก็ยังมีคนหน้าด้านกว่าอย่างคนขับรถบัสชาวพี่เวียด... ช่วงที่เรากำลังชุลมุนหาลูกค้า พี่อ้วนก็บังเอิญเจอตัวพลขับชาวพี่เวียดพอดี พี่พลขับก็ถามพี่อ้วนว่ามากันกี่คน พี่อ้วนด้วยความไม่แน่ใจในฝีมือในการหาลูกค้าของพวกเราก็ตอบไปว่าประมาณ 10 แล้วพี่คนขับก็เดินจากไปและบอกว่าจะไปรอพวกเราที่รถ พร้อมเมื่อไหร่ตามไปที่รถนะจ๊ะ เอ๊ะ ทำไมพี่คนขับนี่น่ารักจัง.. ไม่เร่งให้เรารีบขึ้นรถด้วยแฮ่ะ แถมใจเย็นยังจะไปนั่งรอเราที่รถอีกต่างหาก ! โชคดีโว้ยพวกเรา ใครว่าคนพี่เวียดขี้โกง ขี้จุ๊ทั้งเพ... แต่พอเราเดินไปขึ้นรถพร้อมกับพี่ ๆ ลูกค้าที่หามาได้ ก็พบว่า ที่นั่งด้านหน้าคนขับ มีผู้โดยสารมานั่งรอพวกเราอยู่แล้ว 2 คน และเป็นคนไทยด้วย จึงสอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นได้ความว่าระหว่างที่เราหาลูกค้า พี่พลขับก็ตระเวนหาลูกค้าแข่งกับเราด้วยเหมือนกัน แถมได้ราคาดีกว่าเราด้วยอีกต่างหาก โดยเฮียคิดคนละ 3 ดอลล่าห์ 2 คนก็ 6 ดอลล่าห์... พวกเราก็ได้แต่อื้ออึงด้วยความเจ็บใจ ได้แต่อวยพร และอวยชัยพี่พลขับ อวยแล้วก็อวยอีกจนนึกขึ้นมาได้ว่า ทำไมพี่พลขับไม่ออกรถซักกะที มารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่มีชายหนุ่มหุ่นกำยำชาวเวียดเปิดประตูข้างมานั่งประชิดคุณเล็ก แล้วตะโกนบอกเฮียคนขับเป็นภาษาเวียด พวกหมู่เฮาถึงได้เข้าใจในที่สุดว่านอกจากคนไทย 2 แล้ว เฮียพลขับยังสามารถหาลูกค้าชาวเวียดมาได้อีก 1 ไม่ธรรมดาจริง เฮีย ! เฮ้อ..... กูยอมแพ้เฮียแล้ว...
ก่อนไปกันต่อ อยากให้ดูรูปเจ๊ขายมันต่อเผือก ขายอยู่หน้าร้านฟาสฟู๊ด ดูขัดกันพิลึก

พอรถเริ่มออก อะแฮ่ม ... นอกเหนือจากการขับรถด้วยพวงมาลัยซ้ายที่ชาวเวียดรับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศสและอเมริกาแล้ว นิสัยการขับรถของพี่ ๆ ชาวเวียดกลับไม่ได้รับอิทธิพลมากจากชาวฝรั่งเศสหรือชาวอเมริกันเอาซ่ะเลย ว่างเป็นปาด โล่งเป็นแซง ปาดไปก็บีบแตรไป ต่อให้ไม่ปาด แตรก็ยังบีบ ถ้าบีดแตรก็แล้ว ทำท่าจะปาดแล้ว รถข้างหน้ายังไม่มีวี่แววว่าจะหลีกหนี ต้องนี่เลย เปิดไฟสูง แต่อย่าคิดว่าไฟสูงที่ใช้เป็นแค่กระพริบแว๊บ ๆ แบบที่สิบล้อบ้านเราชอบทำนะจ๊ะ เฮีย ๆ แกเล่น เปิดไฟสูงทีละ 15 วิ ถ้าอยู่บ้านเราเฮียทำแบบนี้ เฮียคงต้องโดนรถคันหน้าจอดรถลงมาชักปืนยิงเฮียตายคาถนนอย่างแน่นอน แต่พระเจ้าก็ยังเข้าข้างเฮีย เพราะนี่คือเวียดนาม ประเทศที่คนมีความอดทนอย่างยิ่งยวด พี่เวียดจะว่าไปแล้วก็นับว่าใจเย็นกว่าพี่ไทยมาก ใครจะบีบแตร ก็บีบไป เผลอ ๆ เราก็บีบตอบ ใครจะแซงจะปาดก็ทำไป เดี๋ยวซักพักเราก็ปาดบ้างแซงบ้าง อยากเปิดไฟสูงก็เปิดไป เพราะตอนนี้เราก็เปิดไฟสูงอยู่ เฮ้อ... ใครว่าขับรถที่กรุงเทพได้ก็ขับที่ไหนในโลกได้ ขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่าเป็นคำพูดที่โกหกหลอกลวงที่สุด ประหนึ่งบอกว่าช้างออกลูกเป็นไข่ ฉ้นใดก็ฉันนั้น... รูปข้างล่าง เป็นรถเหมือนกัน แต่เป็นรถขายของสารพัดประโยชน์สำหรับคุณสุภาพสตรีเท่านั้น ขายอะไรบ้างโปรดดูกันเอาเอง

พวกเราสนุกสนานกับการนั่งรถในเวียดนามครั้งแรกกันมาก นึก ๆ ก็เหมือนเล่นเรือเหาะที่แดนเนรมิต (กรี๊ด ๆ เด็กรุ่นใหม่ต้องไปดรีมเวิลด์) ก็มีแต่พี่ปุ้นและคุณเล็กที่ดูจะคร่ำเครียดกับการจราจรอยู่แค่ 2 คน (พี่น้อง) พี่ปุ้นได้แต่บ่นวนเวียนแต่ว่า " พี่หัวใจเต้นแรง เครียด ๆ ทำไมมันบีบแตรกันอยู่ได้ ประสาทจะกิน " ส่วนคุณเล็กแม้ไม่บ่นแต่ก็เห็นนั่งหลังตรง ตัวเกร็ง ตาเขม็งมองทางข้างหน้าอย่างไม่กระพริบตา กอดกระเป๋าเป้แน่นพร้อมพูดพึมพำว่า "กูตายแน่ถ้าต้องมาขับรถที่นี่" 555555 สงสัยคุณเล็กคงคิดเอาเองว่าตัวเองกำลังเล่นเกมส์ประเภท virtual reality อยู่แน่ ๆ

ระหว่างทางเฮียคนขับก็หย่อนผู้โดยสารชาวเวียด และชาวไทยลงก่อน มีการจ่ายเงิน ทอนเงินให้พวกเราเห็นกันซึ่ง ๆ หน้า อันเป็นการหยามศักดิ์ศรีของพวกเราชาวเช่าเหมาลำยิ่งนัก เมื่อถึงโรงแรม ทุกคนก็พากันลงจากรถอันรวมไปถึง ลูกค้า พี่ ๆ 3 คนของพวกเราด้วย ลูกค้าที่ขอเรียก ณ ที่นี้ว่า "พี่ ๆ" ที่ตอนแรกก็ดูติ๋ม ๆ ดี แต่เพียงแค่เหยียบแผ่นดินเวียดได้ไม่นาน นิสัยพี่เวียดก็ออสโมสิส เข้าไปสิงสู่พวกพี่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่ง พอถึงตอนจะเก็บเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้ 3 คน ๆ ละ 2 ดอลล่าห์ รวมเป็น 6 ดอลล่าห์ (ยังได้น้อยกว่าเฮียพลขับเลย ให้ตายเถิด) พี่ ๆ ก็บอกว่า เหลือ 5 ดอลล่าห์ ได้ไม๊ ? อุ๊แม่เจ้า.... อะไรว่ะเนี่ย ? ก็ตกลงกันก่อนแล้วนี่หว่าว่า คนละ 2 เหรียญ 3 คนก็ 6 เหรียญ เอ๊ะ นี่เรารับโจรมาขึ้นรถเหรอเนี่ย พวกพี่ ๆ นี่ไม่มีสัจจะเอาซ่ะเลย พวกเราก็กลั้นใจตอบไปว่า "ไม่ได้ค่ะ 6 เหรียญ ก็ 6 เหรียญตามที่ตกลงกันไว้ พี่ไม่เห็นเหรอค่ะ คนขับเค้าคิดคนละ 3 เหรียญ หนูคิดพี่ ๆ แค่คนละ 2 เหรียญเอง ถูกจะตาย" แต่พี่ ๆ โจรของเราก็ตอบมาให้เราได้อึ้งว่า "2 เหรียญแพง เพราะพี่คิดว่าจะนั่งรถเมล์เข้าเมืองมา" อ้าว... แล้วพี่ ๆ ตกลงขึ้นรถเรามาทำซากอะไรเนี่ย ? พี่ ๆ ขา ถ้าพวกพี่ ๆ จนก็อยู่บ้านเถอะค่ะ อย่าออกมาเป็นอันตรายแก่ชาวโลกเลย พอเห็นท่าไม่ไหว พวกเราก็เข้าไปยืนประชิดตัวให้พี่ ๆ จ่ายเงินมาซ่ะโดยดี พี่ ๆ เห็นท่าว่าไม่ได้การ พวกเราไม่ได้หมูเหมือนที่พี่ ๆ คิด พี่ ๆ อาจจะเห็นว่าระหว่างนั่งรถมาด้วยกัน พวกเราตลกโปกฮากันเป็นอย่างมาก โน่นก็เฮ นั่นก็ฮา พี่ ๆ คิดผิดค่ะพวกหนูขอยืนยัน ถ้าพวกหนูหมู พวกหนูจะหน้าด้าน กล้าหาญคิดหาลูกค้ามาทำเซ้งลี้เหรอค่ะ พอพวกพี่ ๆ ยอมจ่ายเงินเรียบร้อย พวกเราก็เช็คอิน ขึ้นห้อง เปิดกระเป๋า แต่งตัว ใส่เสิ้อหนาว และผ้าพันคอ พร้อมตะลุยฮานอยในยามราตรีด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม (จากการปราบโจร) และคึกคักเป็นอย่างยิ่ง

จากนี้เป็นต้นไป อีก 4 วันในฮานอย คงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าคุณเล็กเป็นตัวดำเนินเรื่องก็ว่าได้.... เพราะคุณเล็กเป็นผู้เดียวจริง ๆ ที่อ่านแผนที่ใยแมลงมุมของฮานอยออก และคล่องแคล่ว ดุจกับเป็นแมลงมุมชาวพี่เวียดอย่างแท้จริง บุ๋ม บุ๋ย บุ๋ม บุ๋ย....

โปรดติดตามตอนต่อไป...

ไป Hanoi มา (ภาค 1)

ขอเล่านิดนึงก่อนจะลืม ด้วยความที่อายุอานามก็ปาเข้าไป 30 ฝ่า ๆ ขืนทิ้งไว้หลาย ๆ วันต้องลืมแน่นอน ไม่เหมือนสมัยยังสาว ๆ ใครพูดอะไร ประโยคไหน เจอใคร ช๊อตไหน จำได้หมด แต่เดี๋ยวนี้บางทีก็จำหน้าได้แต่ลืมชื่อ จำชื่อได้แต่ก็เรียกสลับไปสลับมา เป็นที่สับสนงุนงงและอเน็จอนาจใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

อ่ะ เริ่มเลยล่ะกัน เสียเวลาพล่ามซ่ะเยอะ ที่ได้ไปฮานอยคราวนี้ ต้องยกผลประโยชน์ และความดีความชอบทั้งหลายทั้งปวงให้คุณพี่หมูอ้วน (หัวหน้ากลุ่ม) เนื่องจากคุณพี่อ้วนเป็นผู้ไปค้นพบตั๋วนกแอร์ไปกลับฮานอย 3 บาท ด้วยความตื่นเต้นดีใจทุกคนพร้อมใจกันสู้เว้ย แต่ลืมไปและหารู้ไม่ว่าค่าน้ำมัน ภาษีสนามบินนั้นยังต้องจ่ายอีกประมาณ 3 พันกว่า ๆ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อคิดสาระตะดูแล้ว ก็ยังถูกกว่าไปกับการบินไทยประมาณ 2 เท่าครึ่ง สมาชิกที่ตอบรับก็มีพี่อ้วน กับสามี นก จอย ข้าพเจ้า และพี่ปุ้น ขาดแต่ก็เพียงบักต้อง กับบักเดช และวิเศษ เนื่องจากบักต้องและสามียังเป็นประเภทข้าวใหม่ปลามัน จึงยังไม่สมควรออกนอกประเทศในช่วงแต่งงานปีแรก ส่วนวิเศษนั้น เนื่องจากพี้นเพเดิมเป็นชาวฝรั่งเศส จึงได้เคยไปบุกรุกเวียดนามทั้งตอนเหนือและตอนใต้อยู่หลายหน จึงไม่เห็นว่าการไปท่องเที่ยวกับพวกเราด้วยนกแอร์ 3 บาทนั้นจะมีความสนุกสนานและตื่นเต้นยังไง รูปข้างล่างคือเครื่องบินนกแอร์ 3 บาท

ก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือนทุกคนตื่นเต้นกันอย่างมาก มีการทำการบ้านกันอย่างสาหัสสากรรจ์ ประหนึ่งจะไปสอบเอ็นทรานซ์กันอีกรอบ มีการไปสรรหาคู่มือท่องเที่ยวเวียดนามกันมาทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น lonely planet, luxe, honeymoon travel, anywhere หรือแม้กระทั่งข้อมูลต่าง ๆ ที่คุณพี่อ้วนอุตส่าห์เข้าไปเสาะหามาจาก pantip.com แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น พวกที่แบก็แบกันจริง ๆ แบหมายความว่าไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ใครไปไหนก็ไปกัน แต่อย่าให้ชั้นทำอะไรเป็นเด็ดขาด โดยมีข้ออ้างเดิม ๆ ว่า "แหม.. ก็เจ้สมองน้อยนี่ค่ะ เจ้คิดไม่ออกหรอกค่ะว่าจะให้ไปทำอะไรที่ไหนบ้าง พวกเน่กับอ้วนกับจอยจะทำอะไรก็ทำกันเถอะค่ะ ทำไหนทำนั่น เจ้สู้ตาย"...

ด้วยความที่พี่อ้วนขมีขมัน หมั่นส่ง link นู่น link นี่ของสถานที่เที่ยวก็ดี โรงแรมก็ดี รถบัสรับส่ง หรือแม้แต่ร้านอาหารเด็ด ๆ ก็ดี พวกเราทุกคนก็เลยพากันวางใจอย่างพร้อมเพรียงกันว่า ถ้าพี่อ้วนฟิตขนาดนี้ เราก็ทำเป็นว่า เราทำการบ้านต่อหน้าพี่อ้วนดีกว่า แล้วถ้าถึงฮานอยจริงค่อยไปพึ่งพี่อ้วนเอาก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่เหตุการณ์กลับเป็นเช่นนั้นไม่.... พี่อ้วนกลับชั่วกระทันหัน เพียงแค่ 1 วันก่อนไป พี่อ้วนได้ส่งอีเมล์หาพวกเราทุกคนว่า "ใครจะทำอะไรก็ทำ ข่อยแบแล้ว " อ้าว........ไอ้ฉิบหาย แล้วพึ่งมาบอกกันก่อนไป 1 วันเนี่ยนะ...แล้วใครจะไปทำอะไรกันทันก็เล่นแบกันหมดทุกคนแบบนี้ และที่เลวร้ายไปกว่านั้น ด้วยความที่พี่อ้วนฟิตมาก จึงเป็นผู้เดียวที่เพื่อน ๆ ได้มอบความไว้วางใจให้เป็นผู้นำ lonely planet ไปศึกษา เพราะฉะนั้นวันที่พวกเราจะได้ lonely planet กลับมาสู่มาตุภูมิ ก็เป็นวันเดียวกันกับวันเดินทาง และเพียงไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ..ฮ่วย.... ไอ้ห่าพี่อ้วน..

เมื่อไปถึงสนามบิน พวกเราก็คึกคักกันมาก ขนาดลืมไปกันหมดเลยว่ายังไม่มีใครทำการบ้าน ทุกคนก็เอาแต่คุยกับจ๊อกแจ๊ก จอแจว่ามากันยังไง รถติดไม๊ แท๊กซี่ใครขับโง่กว่ากัน อากาศหนาวมาก ๆ เลยรู้ไม๊ ใครเตรียมเสื้อหนาวมาหนากว่ากัน ทำไมพี่อ้วนกระเป๋าใหญ่มากเหมือนจะไปซัก 1 เดือน ทำไมเจ้กระเป๋าเล็กเหมือนจะไปค้างที่พัทยาแค่คืนเดียว กระเป๋าจอยทำไมซิปติด เล็กนินทาพี่อ้วนว่าเอาเสื้อผ้าอะไรก็ไม่รู้มาเยอะแยะไปหมด พี่ปุ้นเอาขนมเปี๊ยะใส้ทุเรียนมาทำอะไร ฯลฯ ที่พากันหาสาระไม่มีเลย ทุกคนเมื่อเช็คอิน ก็พากันไปแลกเงินที่สนามบิน (เตรียมดัวกันดีมาก เงินยังขี้เกียจจะไปแลก แพงกว่าก็ช่างมัน เอาสบายไว้ก่อน) แลกเงินเสร็จก็เฮโลกันไปกินกาแฟที่สตาร์บัคส์ กินกาแฟเสร็จก็รีบไปที่ด่านตรวจคนขาออก ที่รีบก็เพราะจะรีบไปหาอาหารเย็นกินกันในสนามบิน... ไปถึงร้านก็สั่งอาหารกันชุลมุนวุ่นวาย เปรียบเทียบกันไปมาว่าของใครหน้าตาดีกว่ากัน ของใครอร่อยกว่า รสชาดจัดจ้านกว่า กินเสร็จก็พากันไปต่อคิวเข้าห้องน้ำ แล้วก็พากันไปรอขึ้นเครี่องโดยลืมกันไปหมดว่า ไปถึงฮานอยแล้ว เราจะทำอะไรกันต่อหล่ะเนี่ย... รูปข้างล่างถ่าย

ก่อนขึ้นเครื่องบิน คึกคักน่าดู



เมื่อเครื่องบินขึ้นฟ้า สติสตางค์ก็เริ่มมา ได้เริ่มเอา lonely planet จากกระเป๋าพี่อ้วนมาศึกษาเส้นทาง ดูว่าจะไปไหนบ้าง กินไหนบ้าง แผนที่หน้าตาเป็นยังไง ที่พักเราอยู่ส่วนไหนของแผนที่ ถึงแม้พี่อ้วนจะทำตัวชั่วไว้มากที่บังอาจทิ้งการทำการบ้านของทริปนี้แต่กลางคัน แต่ก็ได้คุณสามี คือคุณเล็กเป็นผู้มาทำความดีไถ่โทษแทนเมีย เชื่อหรือไม่ว่า 6 คนที่ไป มีคุณเล็กคนเดียวที่อ่านแผนที่ออก สามารถจำอะไรต่อมิอะไรที่เกี่ยวกับทิศทาง และถนนได้ประหนึ่งเป็นคนเวียดกงแต๊ ๆ ถ้าไม่ได้คุณเล็ก ทริปนี้เมียและเพื่อน ๆ เมียก็คงจะน้ำตาตกในกันน่าดู ที่ต้องเรียกเล็กว่าคุณเล็ก เพราะพวกเรายังซาบซึ้งในบุญคุณของเล็กอย่างไม่รู้ลืม บนเครื่องเราใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ในการศึกษาเมืองฮานอยจนทะลุปรุโปร่งจาก lonely planet เมื่อเห็นว่าพอจะไหวกันแล้ว วางแผนกันได้แม้กระทั่งว่าพอลงเครื่องเสร็จแล้วจากโรงแรมเราจะเดินไปทางไหนเพื่อจะไปกินข้าวร้านไหน ทุกคนก็วางใจ แล้วก็วกกลับมาคุยเรื่องไร้สาระกันต่อไปจนเครื่องลง ...

เมื่อถึงเครื่องลงถึงสนามบินนอยใบ .... อ่ะ รอต่อภาค 2 ล่ะกัน เหนื่อยแล้ว เดี๋ยวว่าง ๆ จะมาเขียนใหม่