วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

ว่าด้วยเรื่องของ Halong Bay


เมื่อซื้อทัวร์แบบ one day trip ไป Halong Bay ข้างร้านปลาหมึกปิ้งเป็นที่เรียบร้อย บริษัททัวร์ก็แสนดีบอกว่าจะเอารถบัสมารับพวกเราทั้ง 6 ที่หน้าโรงแรม แต่พวกเรากลัวน้องพนักงานโรงแรม จะน้อยใจที่เราไม่ยอมซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์กับน้อง ทั้ง ๆ ที่น้องได้เพียรพยายามมาขายทัวร์กับพวกเราทุกเช้า-ค่ำ ก็น้องเล่นเห็นพวกพี่ ๆ เป็นหมูนี่จ๊ะ ใคร ๆ เค้าก็ขายกัน 17-20 เหรียญ แต่น้องกะล่อพวกพี่ ๆ คนละ 25 เชียว แหม... เห็นพี่ ๆ อยู่ทุกวันแต่กลับจะทำกันได้ลงคอ ทีนี้พวกเราก็เลยต้องฝีนสังขารตื่นแต่เช้าเดินฝ่าความหนาวและเสียงแตรของเมืองฮานอยเพื่อเดินไปขึ้นรถบัสที่หน้าร้านทัวร์กัน

เมื่อไปถึงหน้าร้าน แทนที่เราจะได้ขึ้นรถบัสตามที่บริษัททัวร์ได้นัดแนะไว้ ก็กลับเจอน้องไกด์ชาวเวียดที่ดูสภาพเหมือนพึ่งตื่นนอนมาได้แจ้งว่าให้พวกพี่ ๆ เดินตามหนูมานะคะ หนูต้องขอเดินไปรับสมาชิกทัวร์อีก 17 ท่านที่นอนกระจัดกระจายอยู่ตามโรงแรมในละแวกแถว ๆ นี้เองค่ะ ไม่รู้ว่าด้วยความที่ตื่นเช้ามากเกินไปสมองเลยเบลอ ๆ หรือน้องไกด์มีคาถาอาคมดี พวกเราทั้ง 6 ก็เดินตามน้องไกด์ไปรับแขกตามโรงแรมต่าง ๆ อย่างว่านอนสอนง่าย โรงแรมที่ 1 ก็แล้ว ข้ามไปอีก 2 ถนน ไปโรงแรมที่ 2 ตัดไปอีก 2 ซอย ถึงโรงแรมที่ 3 4 5 ...จนได้แขกครบ 17 คน รวมพวกเราอีก 6 ก็เป็น 23 ตัว เป็นฝูงควายขนาดใหญ่ให้น้องไกด์ต้อนได้กำลังสะดวก

เมื่อได้ควายครบ 23 ตัว น้องไกด์ก็ต้อนควายทั้งฝูงไปที่ถนนใหญ่ บอกว่าให้พี่ ๆ (ควาย) รอตรงนี้นะจ๊ะ เดี๋ยวจะมีเกวียนขนาด 27 ที่นั่งมารับพวกพี่ ๆ ไปฮาลองเบย์ ด้วยความเป็นมือหนึ่งในด้านคณิตศาสตร์ ควายพี่อ้วนก็ได้ถามน้องไกด์ไปว่า แต่พวกเรามีกันแค่ 23 อีก 4 ที่นั่งก็ว่างหล่ะสิน้อง ? น้องก็ตอบกลับมาว่า ก็รวมคนขับ 1 ไกด์ 1 แล้วก็จะมีควายอีก 2 ตัวที่คนขับไปรับมาจากโรงแรมเรียบร้อยแล้ว รวมเป็น 27 ที่นั่งพอดีจ๊ะ.... ควายพี่อ้วนเมื่อได้ยินคำตอบก็สบายใจที่สามารถบวกลบคูณหารสูตรคณิตศาสตร์ได้ลงตัว

ขณะที่รอเกวียนมารับบริเวณริมถนนใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งร้านขายเฟอร์นิเจอร์ใหญ่สุดในเมืองฮานอย ควาย 23 ตัวก็เดิน และยืนกันเปะปะ ไปบังหน้าร้านเค้าบ้าง ไปส่องกระจกจากโต๊ะเครื่องแป้งเค้าบ้าง จนน้องไกด์เห็นท่าไม่ดี รีบเรียกประชุมควายและแจ้งว่า กรุณาย้ายไปกระจุกรวมตัวกันที่หน้าทางม้าลายจะดีกว่า เพราะพ่อค้าชาวเวียดนามถือมากถ้าจะถูกบังหน้าร้านในตอนเช้า เพราะอาจหมายถึงโชคร้าย ทำให้ทำมาค้าขายไม่ขึ้นในวันนั้น ... ควายจีเนียสอย่างพี่อ้วน ผู้พร้อมเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ที่จะทำให้พวกเราได้ขึ้นไปเลือกที่นั่งเมื่อเกวียนมาจอดได้ก่อนใคร จึงรีบจัดแถวตอน 2 เรียงอยู่หน้าทางม้าลาย โดยพี่อ้วนได้เอาพี่ปุ้นและตัวเองเป็นต้นแถว ตามด้วยจี้จอย กับเจ้เป็นแถว 2 และข้าพเจ้ากับคุณเล็กเป็นแถว 3 ควายตัวอื่นพอเห็นควายแถวคู่ ก็รีบเข้ามาเรียงต่อแถวตามจนได้แถวตอน 2 ยาวสวยงามเหมือนแถวเด็กประถมเตรียมร้องเพลงชาติตอน 8 โมงเช้า

ยืนได้ซักพัก ก็เริ่มสังเกตุเห็นว่ารถราที่วิ่งผ่านไปมาแทบทุกคัน ต้องเหลียวกลับมาฉงนกับแก๊งค์แถวคู่ควายประถมของทัวร์เราเป็นอย่างมากว่ามายืนทำอะไรกัน ทำไมถึงได้เป็นระเบียบเรียบร้อยผิดวิสัยชาวเวียดนาม ที่สำคัญ หัวหน้าหมู่คือพี่อ้วนกับพี่ปุ้น ถึงแม้จะไม่ได้ถึอไม้ 3 ง่ามติดธงนกกางเขน แต่ก็ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ผ้าพันคอสีรุ้งเป็นที่ดึงดูดสายตาแก่รถรา และคนที่ผ่านไปมาในบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก หัวหน้าหมู่ของเราทั้งสอง แทนที่จะรู้สึกเขินอายที่ถูกจ้องมอง กลับดูจะภาคภูมิใจกับตำแหน่งที่พึ่งได้ปราบดาภิเษกด้วยตัวเองเป็นอย่างมาก อ่ะ มีรูปประกอบแล้ว โปรดดูคนตัวเตี้ยสุด 2 คน ที่ใส่เสื้อกับผ้าพันคอสีแร่ดสุด

แต่คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต เมื่อรถบัสแล่นมา กลับไม่ได้มาจอดแทบเท้าหัวหน้าหมู่ทั้ง 2 แต่ดันทะลึ่งจอดก่อนหน้าประมาณ 15 เมตร ทันใดนั้นเอง ควาย 23 ตัวก็ได้แปลงร่างเป็นนักวิ่ง 100 เมตรทีมสารพัดชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาติไทย จีน มาเลย์ ฮ่องกง หรือแม้แต่ชาติเวียดนามเอง... วิ่งกรูกันขึ้นรถบัสเพื่อจะได้จองที่นั่งที่ดีที่สุด หัวหน้าหมู่ทั้ง 2 ของเราแม้ดูจากสรีระภายนอกจะเสียเปรียบคู่ต่อสู้ชาติอื่น แต่ก็อาศัยจังหวะชุลมุน ใช้สรีระอันสั้น และกระทัดรัดให้เป็นประโยชน์ มุดลอดจักกะแร้ใครต่อใคร เข้าเส้นชัยเกือบเป็นอันดับ 1 สามารถเข้าไปจองที่บนรถบัสให้เพื่อน ๆ 4 ตัวที่แม้จะตัวสูงเหมือนยักษ์วัดแจ้ง แต่ก็กลับไร้สมรรถภาพในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตร นานาชาติโดยสิ้นเชิง เฮ้อ....ถ้าไม่ได้พี่อ้วนกับพี่ปุ้น งวดนี้พวกเราคงต้องนั่งรถ 4 ชั่วโมงไปฮาลองเบย์บนที่นั่งที่ไม่มีที่พิงหัว... คงจะทรมานน่าดูเชียวแหละท่านผู้ชม....

เมื่อรถแล่นถึงฮาลองเบย์ตอนเที่ยงฝ่า ๆ พวกเราก็ถูกคุณน้องไกด์ต้อนมารอขึ้นเรือ เมื่อเรือออกจากท่า ความสวยงามของฮาลองเบย์ก็ได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา.... โปรดดูรูปประกอบข้างล่าง
ล่อง ๆ ไปน้องไกด์ก็แจ้งว่าเรากำลังจะแวะที่กระชังปลา ที่นั่นพวกพี่ ๆ สามารถเลือกซื้ออาหารทะเลสด ๆ ในกระชัง เช่นกุ้ง กั้ง ปลา ปู ปลาหมึก แล้วทางพ่อครัวบนเรือเราจะปรุงให้พี่ ๆ รับประทานแบบ free of charge ( free of charge เฉพาะค่าปรุงนะจ๊ะ ค่าสัตว์น้ำ คิดราคาตามจริงเป็นกิโล ๆ จ๊ะ) พวกเราพอได้ยินก็ได้แต่ซู๊ดปาก...สู้ตายค่ะ จะเอากั้งกี่โลดี เอาปลาไซส์ไหนดีเอ่ย ? โอ้โห ปลาหมึกขนาดใหญ่หยั่งกะลูกรักบี้ มันกินอะไรเข้าไปทำไมตัวโตจัง ? ขณะที่พวกเรากำลังคิดสาระตะกันอยู่ ก็เห็นชาวประมงช้อนปลาหมึกขนาดลูกรักบี้ขึ้นมา 1 ตัว วางไว้บนพื้น ปลาหมึกก็ดิ้นกระแด่ว ๆ นิด ๆ แต่ทันใดนั้น ชาวประมงอีกคนไม่รู้โผล่มาจากไหน เอาไม้หน้าสามฟาดไปที่กลางตัวปลาหมึกอย่างแรงดังป๊าบ...ปลาหมึกสลบเหมือด พร้อมหมึกสีดำกระฉูดท่วมพื้น พวกเราทุกคนได้แต่มองหน้ากันด้วยความสยดสยอง แล้วใครก็ไม่รู้พูดขึ้นมาว่า "ใครจะกินก็กินเถิด ข่อยไปก่อนเด๊อ..." แล้วทุกคนก็พากันเรียงแถวตอน 1 ปีนกลับขึ้นเรือ พร้อมเสียงพึมพัมเป็นระยะ ๆ ว่า ไม่กงไม่กินมันแล้ว ไปกินผักบนเรือก็ได้ว่ะ โหดเป็นบ้าเลย ทำไมมันต้องฟาดปลาหมึกด้วยว่ะ มิน่ามันถึงกล้ากินหมา เฮ้ย รู้รึเปล่า มันกิน little tiger ด้วยนะเฟ้ย... ฯลฯ .... รูปข้างล่างเป็นรูปเรือแจวขายผลไม้ที่มา
ขายแถว ๆ กระชัง



เมื่อขึ้นเรือก็รับประทานอาหารกลางวันที่น้องไกด์ได้เตรียมไว้ให้ลูกทัวร์ทุกคนบนเรือ จี้จอยรับอาสาไปซื้อ Bia Hanoi กับ เป๊บซี่ที่ครัวท้ายเรือ ปรากฏว่าเรือเราโลเทค ไม่มีถังน้ำแข็ง จี้จอยผู้ถือคติกำขี้ดีกว่ากำตด จะกลับมามือเปล่าก็จะกระไรอยู่ ก็หลับหูหลับตาซื้อเบียร์กับเป๊ปซี่ที่ไม่เย็นมา 2-3 กระป๋อง แล้วใครจะไปกินได้หล่ะอีจอย ? มองไปมองมาเห็นเรือที่จอดอยู่ลำข้าง ๆ ดูหรูหรากว่าเรือเรามาก และน่าจะไม่โลเทคเท่าเรือกระป๋อง ๆ ของเรา จี้จอยผู้อยากทำความดีไถ่โทษ จึงข้ามน้ำข้ามทะเล ปีนป่ายไปเรือข้าง ๆ ทำทีตีซี้กับพ่อครัวพร้อมขอซื้อเบียร์ และเป็ปซี่ ได้ผล เรือของเขาดีจริง ๆ ทั้งเบียร์และเป็บซี่เย็นเจี๊ยบ จี้จอยเลยฮึกเหิม ได้คืบจะเอาศอก เอาเบียร์กับเป๊ปซี่ที่ไม่เย็นของเราไปขอทำ barter trade กับเบียร์และเป๊บซี่เย็นเจี๊ยบของอาเฮียพ่อครัว.... ไม่รู้พ่อครัวเมาคลื่น เมาปลาหมึก หรือเมาหมา กลับยอมแลกโดยง่ายดายแถมไม่คิดค่า commission ซักกะดอง... ผิดวิสัยชาวเวียดเป็นอย่างมาก
(ขอหมายเหตุนิดนึง อีพี่อ้วนมื้อนั้นฟาดเบียร์ไป 6 กระป๋อง (โปรดดูสภาพจากรูปประกอบ) พี่ปุ้นรู้สึกจะ 4 คุณเล็กจำไม่ได้ ส่วนข้าพเจ้า เจ้ และจี้จอยฟาดไปคนละ 1 กระป่อง แต่เป็นเป๊ปซี่ไม่ใช่เบียร์)

กินข้าวเสร็จ ล่องเรือไปมา มุดถ้ำลอด ปีนเขาหิน ทำทุกธุรกิจ และทุกกิจกรรมที่น้องไกด์สรรหามาให้ ก็ได้เวลาเข้าฝั่งนั่งรถบัสกลับฮานอย ขากลับมีรถตู้มาเพิ่มอีก 1 คัน ทำให้หัวหน้าหมู่นกสาลิกาอย่างพี่อ้วน และพี่ปุ้นไม่ต้องออกแรงมุดจักกะแร้ใครต่อใครเหมือนขามา เมื่อขึ้นรถ ทุกคนก็พร้อมใจกันยิงยาว (นอนยาว) 4 ชม. รวดจากฮาลองเบย์ จนถึงฮานอย ระหว่างที่ทุกคนพร้อมใจกันยิงยาว กลับมีคนนึงที่ไม่ยอมยิงเลยก็คือเจ้ เจ้นั่งตาโต ไม่มีท่าว่าจะอยากหลับนอน จึงได้แต่สันนิษฐานว่า สาเหตุอาจจะเป็นเพราะผู้โดยสารชายหนุ่มชาวจีนวัยกลางคนที่นั่งติดสีข้างด้านขวาของเจ้ โดยเจ้อาจกลัวว่าถ้าเจ้เผลอหลับไปเมื่อใด คงต้องเผลอไปซบที่หัวไหล่อวบ ๆ ของอาเฮียเอาได้ ดูจากระยะไกล 50 เมตร ก็เห็นแล้วว่าศีรษะอาเฮียอยู่ในช่วงฤดู winter มีหิมะโปรยปรายเป็นระยะ ๆ คิด ๆ แล้ว หิมะของเฮีย ก็สยดสยองไม่แพ้กับการฆาตรกรรมปลาหมึกเมื่อช่วงกลางวันเลย

เมื่อถึงฮานอยเวลา 3 ทุ่ม พวกเราก็พากันเดินไปกินอาหารที่ร้านเวียดนามชื่อดังบนสวนขนาดใหญ่ เมื่อเดินไปถึงน้องสาวคนเสริฟ์กลับบอกหน้าตาเฉยว่า ร้านปิดแล้วค่ะพี่ อาหารก็หมดแล้วด้วย เอ๊ะ ! น้องนี่ยังไง ก็คนยังเต็มร้าน บางโต๊ะเหมือนพึ่งมา บางโต๊ะกำลังอ่านเมนูเหมือนกำลังจะเริ่มสั่ง น้องอย่ามาโกหกพี่เลย พวกพี่ ๆ เลยเดินดุ่ม ๆ ไปดูตามซุ้มต่าง ๆ อาหารก็เยอะแยะ หมดยังไง พี่ไม่เข้าใจน้อง ? ขณะที่วงปี่พาทย์กำลังจะเริ่มบรรเลง ก็มีน้องสาวอีกคนมาช่วยเราทั้ง 2 ฝ่ายไว้ (คือช่วยให้พวกเราได้กิน และช่วยให้น้องคนนั้นไม่ถูกพวกเราด่า) น้องคนใหม่นี้บอกว่า ร้านใกล้จะปิดแล้ว ถ้าพี่จะสั่งอะไรก็ขอให้รีบสั่งตอนนี้เลยค่ะ จ๊ะ ให้มันได้อย่างนี้สิน้อง... พวกเราก็พากันเดินไปสั่งอาหารเวียดนามสารพัดอย่างตามซุ้มต่าง ๆ ยิ่งสั่งยิ่งมันส์ พอถึงซุ้มสุดท้ายทุกคนพากันเงียบหมด ไม่มีใครสั่ง เพราะมันเป็นนกกระทาย่าง ตัวอวบ ๆ แต่เล็กกว่าฝ่ามือ ที่เด็ดไปกว่านั้นคือไม่ตัดหัวออก มองเห็นหัวเกรี๋ยนมันใสแหน่ว ข้าพเจ้าจึงถามว่า มีใครจะกินนกบ้าง ? เจ้รีบบอกว่าไม่เอา เจ้ไม่กินพวกเดียวกัน พี่อ้วน กับจี้จอยก็ทำหน้าไม่สู้ มีแต่พี่ปุ้นที่ทำเป็นตอบเสียงเบา ๆ เหมือนจะไม่กินว่า "พี่เอาตัวนึง" 555555 สรุป ข้าพเจ้า 1 พี่ปุ้น 1 รวมเป็น 2 นกกระทา จุ๊กกรู จุ๊กกรู

เมื่อนก 2 ตัวถูกนำมาเสริฟ ก็มีข้าพเจ้า พี่ปุ้น และคุณเล็ก 3 คนเท่านั้นที่ไม่กลัวไข้หวัดนก กินไปแทะไป โดยเฉพาะพี่ปุ้น ถึงกับชมว่า นกมันอวบดีเน๊อะ เนื้อก็แน๊น แน่น พอพวกเรากำจัดนกเสร็จจนเหลือแต่ซี่โครง ก็หั่นเฉพาะหัวนก แอบเอาไปวางไว้บนจานเจ้ตอนเจ้เผลอ .... 555555 จะเหลือเหรอจ๊ะ ไอ้เจ้พอเห็นหัวนกก็ด่าเช็ด...

จบเรื่องของ ฮาลองเบย์แล้ว ยิ่งเล่ายิ่งมันส์ .... ขอพักซักวัน สองวัน แล้วจะมาเล่าต่อนะจ๊ะ

ไม่มีความคิดเห็น: