วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2551

ไป Hanoi มา (ภาค 3)

เมื่อคืนไปตะลุยราตรีฮานอยมา โดยมี destination ที่หมายมั่นปั้นมือไว้ตั้งแต่อยู่บนเครื่อง คือ Cafe 69 อย่าอ่านว่า คาเฟ่หกสิบเก้านะจ๊ะ เดี๋ยวจะเชย โปรดอ่านว่า คาเฟ่ซิกตี้นาย เป็นคาเฟ่ที่ฮิปมาก ๆ ที่ได้รับการยืนยันและกล่าวถึงโดย lonely planet
และจากการที่ได้ไปท่องเที่ยวมาหลาย ๆ ที่ ทำให้รู้ว่านอกเหนือจากบุพการี ครูบาอาจารย์ ญาติสนิท มิตรสหายผู้มีพระคุณแล้ว ก็มี lonely planet อีกอันหนึ่งที่ไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวัง

ระหว่างทางเดินจากโรงแรมไปคาเฟ่ 69 คุณเล็กผู้ซึ่งกำลังใกล้จะแปลงกายเป็นชาวเวียดเต็มตัวก็ยังหลง ๆ งง ๆ อยู่ ลองนึกดูถ้าคุณเล็กหลง แล้วบรรดาเพื่อนเมีย และเมียมีหรือจะเหลือ... แต่กระนั้นก็ยังมีจี้จอยที่พยายามจะช่วยคุณเล็กอ่านแผนที่ แต่ยิ่งพยามอ่านเท่าไหร่ ก็กลับยิ่งหลงขึ้นเท่านั้น สุดท้ายพวกเราก็ต้องใช้ไม้ตายขั้นสุดท้ายคือการใช้ปากถามทาง แต่ก็เหมือนมีกรรมมาบัง ชาวพี่เวียดฟังภาษาอังกฤษสำเนียงพี่ไทยของพวกเราไม่ออก แต่กระนั้นพวกเราก็กลับสนุกสนานกับการเดินท่องเที่ยวชมแสงสีในยามราตรีของฮานอยเป็นอย่างมาก อาการหนาว เดินเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อย หลงก็หลงไป ไม่เป็นไร เดินไปก็เม้าท์กันไป โน่นก็ขำ นี่ก็ตลก เดินไปได้ซักชั่วโมง อ้าวนั่นnight market นี่หว่า... ไม่สนแล้ว คาฟ่งคาเฟ่ เดินช๊อปปิ้งมันส์กว่า

เดินได้ซักพัก พี่ปุ้นก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่ไหวแล้ว น้ำตาลในเลือดต่ำ หาอาหารกินกันเถิด" ทุกคนจึงได้สติ เออแฮ่ะ ตั้งแต่ 4 โมงจนนี่จะ 5 ทุ่มแล้ว ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลย "เล็ก ๆ เร็ว ๆ ไปหาคาเฟ่ 69 ต่อ " อ้าว เป็นความผิดของเล็กหรือนี่ ? ก็เล็กกำลังหาอยู่ พวกเราก็กลับล้มเลิกเพราะเจอ night market เข้ากลางทาง สุดท้ายคุณเล็กก็สามารถหา คาเฟ่ 69 ได้เมื่อเวลา 5 ทุ่มตรง เมื่อเข้าไปในร้าน พนักงานก็บอกว่า ครัวปิดแล้ว ขายแต่เครื่องดื่ม แต่ถ้าพี่อยากจะกินอาหารหนูจะไป outsource ร้านข้าง ๆ มาให้ โอ้โหน้อง.... หลักแหลมมาก เอาก็เอา ดึกแล้ว พี่ไม่พึ่งน้องแล้วพี่จะไปพึ่งใครได้ แต่น้องก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง อาหารเวียดนามเมนูธรรมด๊า ธรรมดาที่เราสั่งกันไปเช่น Fried Noodle with Eggs and Veggie, Egg Fried Rice, และ Chicken Noodle Soup นั้น เมื่อกินพร้อมกับ Bia Hanoiแล้ว รสชาดอาหารธรรมดากลับสะเด็ดสะเด่าจริง ๆ (คำว่า Bia Hanoi ไม่ได้สะกดผิดนะจ๊ะ เค้าเขียนของเค้าอย่างนี้จริง ๆ) ถ้าไม่เชื่อโปรดดูรูปได้

เมื่อกินได้สุขสมใจ ก็พากันเดินกลับที่พัก วันรุ่งขึ้นก็พากันตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งแท๊กซี่ไปสุสานลุงโฮ (โฮจิมินท์) แท๊กซี่ที่เวียดนามมี 2 ขนาด คือเล็ก ๆ เหมือนวีออส กับใหญ่เหมือน อินโนว่า พวกเรา 6 คนรอคันใหญ่ไม่มา จึงเรียกคันเล็ก 2 คัน แบ่งไปคันละ 3 คน แค่นั่งแท๊กซี่พี่เวียดแค่นี้ฤทธิ์ก็ออกแล้ว ระยะทาง 2 คันเท่ากันเด๊ะ แต่พอถึงตอนจ่ายเงิน คันแรก 3 หมื่นดอง แต่อีกคัน 9 หมื่นดอง อะไรว่ะเนี่ย ? เจ้ผู้แม้จะแบแต่ก็ฉลาดปราดเปรื่องไม่แพ้ใครได้ให้ข้อสังเกตุว่า แท๊กซี่คันหลัง มิเตอร์มันคงอยู่ที่ตีน พอขับ ๆ เห็นพวกเราเผลอชมนกชมไม้ ก็กระทืบเอา กระทืบเอา พอถึงที่ก็ 9 หมื่นดองพอดี เออ... ไอ้เจ้นี่เก่งแฮ่ะ เข้าใจผูกเรื่อง ข้างล่าง
คือรถแท๊กซี่ตัวแสบ รูปนี้คุณเล็กถ่ายก่อน ประหนึ่งจะรู้ว่ามันจะทำเราแสบ


พอถึงสุสานลุงโฮอันใหญ่โตมโหฬารที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์การกู้ชาติอันยิ่งใหญ่เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเวียดนาม ข้าพเจ้าจะขอไม่เล่าต่อเนื่องด้วยว่ามันมีสาระจนเกินไป เนื่องจากข้าพเจ้าทราบว่าอะไรที่มีสาระมาก ๆ แฟน ๆ ผู้อ่านของข้าพเจ้ามักไม่นิยม

ขอเล่าข้ามไปช่วงที่เดินชมสุสานลุงโฮดีกว่า นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวเวียดจะถูกทหารหาญชาวเวียดนามต้อนหน้าต้อนหลัง ให้เดินเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้แตกแถวหรือย้อนศร เป็นที่สังเกตุว่าชาวคณะพักผ่อนหย่อนใจของเราจะถูกทหารหาญต้อนบ่อยเป็นพิเศษกว่านักท่องเที่ยวคณะอื่น แม้ลูกศรเลี้ยวขวาจะชี้ให้เห็นอยู่ตำตา พวกเราก็พร้อมใจกันทะลึ่งเลี้ยวซ้าย แม้มีป้ายเขียนให้เดินชิดซ้าย พวกเราพี่ไทยเราก็ทะลึ่งเดินชิดขวา เป็นเหตุให้ทหารหาญถึงกับต้องตะโกนออกมาเป็นภาษาเวียดนาม อันเป็นเหตุให้เราต้องรีบทำตามกฏอย่างเคร่งครัด นี่ถ้าไม่เห็นว่าเฮียคาดปืนอันมหึมาอยู่ที่เอว ฝันไปเถอะเฮียว่าพวกเราจะเชื่อฟังตามที่เฮียตะโกนหน่ะ ! ดูจากรูป ตึกสีเทา ๆ ที่มีเสาข้างหลัง อันนั้นแหละสุสานลุงโฮ


เมื่อชมสุสานและบ้านลุงโฮเสร็จ ก็พากันไปรับประทานอาหารกลางวันกัน (เรื่องอาหารการกิน เดี๋ยวจะเขียนขึ้นมาอีกตอนนึงเพื่อ Review ร้านอาหารล่ะกันนะท่านผู้อ่าน) เมื่อหนังท้องตึง หนังตาคุณเล็กก็เริ่มหย่อน คุณเล็กก็เริ่มงอแง อยากจะ siesta นอนกลางวันเลียนแบบชาวเวียด แต่มีหรือที่พวกเราจะยอม ไม่มีคุณเล็กแล้วพวกเราจะมีปัญญาที่ไหนออกไปหากิน คุณเมียก็รู้หน้าที่ หลอกล่อให้คุณสามีสู้ ๆ และอดทน หันหนีจ๋า หันหนีจ๊ะ สุดท้ายช่วงบ่ายพวกเราก็พากันไปดูการแสดงหุ่นกระบอกน้ำอันเลื่องชื่อของชาวเวียดนามเหนือ (water puppets) พอถึงช่วงดูการแสดง โรงละครชั้นดีที่ทั้งมืดและเย็น ก็กลับแปลงกายเป็นที่นอนของบรรดาแก๊งค์เงียบเป็นหลับ ขยับเป็นแดก แยกเป็นหลง ลงเป็นเยี่ยวของพวกเรา จะว่าไปก็มีแต่ข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่เพลิดเพลินจำเริญใจเป็นอย่างมากกับ water puppets เมื่อถึงฉากไคล์แมกซ์ มีการตบมือดีใจของคนดูทั้งโรง ก็หวังว่าจะหาเพื่อนแชร์ความสนุกด้วยกัน แต่เมื่อหันไปมองกลับเจอแต่เพื่อน ๆ พี่ ๆ ทั้ง 5 กำลังเล่นเกมส์ซ่อนตาดำกันอยู่ด้วยความเมามันส์ไม่แพ้การแสดงของหุ่นกระบอกน้ำเลย.... ให้ตายเถิด

เมื่อทั้ง 5 คนตื่น ซึ่งก็คือเมื่อการแสดงจบ พวกเราก็พากันไปกินข้าวเย็น และซื้อทัวร์เพื่อไปล่องเรือที่ Halong Bay ในวันรุ่งขึ้น ข้างร้านทัวร์มีร้านขายปลาหมึกปิ้งกลิ่นหอม ยั่วยวนใจยิ่งนัก พวกเราซึ่งถือคติว่า when in Rome, do as Romans do ก็แปลงกายเป็นชาวเวียดกันทันที โดยสั่งปลาหมึกปิ้งมา 1 ตัว มานั่งล้อมวงกินกันหน้าร้าน เก้าอี้นั่งก็เป็นเก้าอี้เตี้ย ๆ เหมือนเก้าอี้นั่งในส้วม ตอนพวกเราสั่งปลาหมึกที่หน้าร้าน คุณป้าเจ้าของร้านใช้ภาษาใบ้ชี้ให้เราเลือกว่าจะเอาตัวไหน พอเลือกเสร็จก็ถามคุณป้าว่าราคาเท่าไหร่ คุณป้าอัจฉริยะที่ถึงแม้จะพูดภาษาปะกิตไม่ได้เลย ก็เปิดเก๊ะ หยิบแบ๊งค์ 2 หมื่นมาโบกให้เราดู พวกเราก็จ่ายเงินไป 2 หมื่น พอคุณป้าหยิบเงินใส่เก๊ะ ก็เอามือเดิมหยิบปลาหมึกที่เราเลือกไว้ ส่งไปให้คุณป้าคนปิ้ง

คุณป้าคนปิ้งก็เอาปลาหมึกไปปิ้งกับเตาถ่าน ปื้งไปกลับไปจนปลาหมึกเกรียม โดยคุณป้าได้เอาตัวปลาหมืกจิ้มลงไปในถ่านดำ ๆ แดง ๆ ตรง ๆ จะว่าไปคุณป้าคนปิ้งก็เป็นอัจฉริยะ เพราะถ้าจิ้มปลาหมึกกับถ่านโดยตรง มันก็จะเกรียมไวกว่าปิ้งห่าง ๆ (ความสะอาดอนามัย ต้องลืมไปก่อนไม่งั้นเดี๋ยวจะกินไม่ลง) ปิ้ง ๆ อยู่ ถ่านเริ่มหมด คุณป้าก็เอามือล้วงเข้าไปในถุงถ่าน เอาถ่านใส่เตาแล้วปิ้งต่อ พอคุณป้าปิ้งเสร็จ ก็เอามือเดิมที่จับถ่านมาจับปลาหมึกเกรียม ๆ ส่งให้เฮียอีกคนนำปลาหมึกไปทุบต่อ อุปกรณ์ในการทุบก็คือหนังสือเรียนไว้รองทุบ และ ค้อนปอนด์ หรือจะเรียกง่าย ๆ ก็คือค้อนที่เตี่ยใช้ตอกตะปูติดฝาบ้านหน่ะเอง เป็นค้อนหัวเหล็ก เมื่อใช้เสร็จก็วางไว้กับพึ้นทางเดินมันนั่นแหละ

เอารูปปิ้งข้าวโพดมาให้ดูเป็นตัวอย่างก่อนว่าปิ้งแบบจิ้มมันลงไปเลยเนี่ย มันหมายฟามว่าอย่างนี้แหละพี่น้อง

ส่วนกระดาษหนังสือเรียนตอนแรกพวกเราเห็นกันไม่ชัด ก็พากันบอกว่าแม่ง เฮียเล่นทุบกับหนังสือพิมพ์เลยเนี่ยนะ แต่ด้วยความที่จี้จอยตาไว ก็บอกว่า ไม่ใช้เฟ้ย เป็นหนังสือเรียนต่างหาก กินปลาหมึกแล้วฉลาดคงน่าดู แต่เจ้ด้วยความตาดีกว่าก็บอกว่าเป็นหนังสือเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ยิ่งกิน ยิ่งอัจฉริยะ ทุบ 1 ตัว ก็เปลี่ยน 1 หน้า ทุบไปทุบมากระดาษกลืนเข้าไปในตัวปลาหมึก ก็เปลี่ยนอีก 1 หน้า ... ขออภัย ชักนอกเรื่องไปเยอะ...พอเฮียทุบเสร็จ เฮียก็เอามือหยิบปลาหมึกไปให้พี่สาวอีกคนนำไปฉีกให้เป็นฝอย ๆ ฟู ๆ พี่สาวก็ฉีกเอาฉีกเอา ฉีกไปฉีกมาก็ทำหนวดปลาหมึกหล่นบนพึ้นทางเดิน พี่สาวก็หยิบหนวดมาวางบนจานพลาสติกอย่าง ชิล ๆ หน้าตาเฉย ฉีกเสร็จ ก็นำมาส่งให้ที่เก้าอี้ยอง ๆ ของพวกเรา
พวกเราก็กินกันสู้ตาย ไม่เหลือซาก ยิ่งกินยิ่งคึก ยิ่งรำลึกถึงกระบวนการผลิตยิ่งเคี้ยวเพลิน มิน่า ปลาหมึกถึงได้รสชาดกลมกล่อม เค็มนิด ๆ กำลังดี เคี้ยวไปเคี้ยวมา ก็สั่ง Bia Hanoi มากินแกล้ม โอ๊ย... สวรรค์แต๊ ๆ

ปล. จากกระบวนการผลิตปลาหมึก ขอสรุปว่าอุปกรณ์ที่สะอาดที่สุดในการผลิตคือพี้นทางเดิน

คราวหน้าเราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของ Halong Bay ดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น: