วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

ไป Hanoi มา (ภาค 2)

อ่ะ มาต่อ ๆ เนื่องจากภาคแรกได้รับการตอบรับจากท่านผู้อ่านเป็นอย่างดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการกระหน่ำมาทางอีเมล์ หรือทางโทรศัพท์ ภาคนี้ข้าพเจ้าจึงต้องเพิ่มความพยายามอย่างเต็มที่ ๆ จะไม่ทำให้ผู้อ่านทุก ๆ ท่านผิดหวัง

เมื่อแลนดิ้งถึงสนามบินนอยใบ ทุกคนก็ตื่นเต้นกับความหนาวเย็นเหมือนกับเกิดมาชาตินี้ไม่เคยพบเคยเห็นอากาศหนาว เดินผ่านเจอรูปอาหารเวียดนามที่สนามบินก็กิ๊วก๊าว กิ๊วก๊าว ว่า ไอ้นั่นก็น่ากิน ไอ้นี่ก็น่ากิน ระหว่างที่พวกเรากำลังเมามันกับกับอากาศหนาว และจินตนาการถึงอาหารที่จะกิน พี่อ้วนก็สั่งให้พวกเราไปที่รอที่สายพานรับกระเป๋า แล้วพี่อ้วนจะออกไปก่อนเพื่อเอาเงินดอลล่าห์ไปแลกเงินดอง และซื้อ"ซิมการ์ด" แค่ได้ยินคำว่าซิมการ์ด พี่ปุ้นก็ทำเสียงร้อนรนว่า "กระป๋งกระเป๋าใครจะเอาก็เอาไป พี่ปุ้นจะต้องไปเป็นเพื่อนน้องหมูตามหาซิมการ์ดก่อน " และแล้ว 2 คนก็กระวีกระวาดออกไปข้างนอก ปล่อยให้พวกเรา 4 คนรอรับกระเป๋าที่สายพาน

ระหว่างที่กระเป๋ายังไม่มา พวกเราก็ยืนเม้าท์กันว่า นั่นสีเขียวกระเป๋าของเจ้รึเปล่า? นั่นสีส้มแร่ดมาก ๆ ใบโต ๆ เป็นของอีหมูชัวร์ ๆ ยืนไปเดาไปจนกระเป๋ามาครบ 6 ใบก็ค่อย ๆ เข็นกระเป๋าออกมา ก็เจอพี่อ้วนรออยู่แล้วกับพี่ปุ้นที่กำลังทำหน้าสุขสมอารมณ์หมาย... เพียงแค่เพราะว่าได้ตามหาซิมการ์ดเวียดกงได้สำเร็จ ทันใดนั้นเองพี่อ้วนก็ตะโกนถามว่า "หาลูกค้าได้ยัง ?" ฉิบหายแล้ว... ลืมค่ะ ก็มัวแต่เดากระเป๋าสีนู้นสีนี้อยู่กับเจ้ จอย และคุณเล็กจนลืม mission ที่พี่อ้วนสั่งไปเลย

mission ที่ว่ามันมีอยู่ว่า ก่อนที่พี่อ้วนจะทำชั่ว พี่อ้วนโคตรฟิตไปจองเหมาให้รถมินิบัสขนาด 18 ที่นั่ง มารับพวกเราจากสนามบินไปส่งที่โรงแรม เนื่องจากพี่อ้วนเป็นผู้มีวิชั่น และรู้จักพวกเราทุกตัวตนเป็นอย่างดี เห็นว่าถ้าขืนปล่อยพวกเราทั้งหมดที่ทั้งขี้เกียจ ขี้แบ และขี้รำคาญไปตามหาแท๊กซี่กันเอง ก็คงต้องโดนพี่เวียดขี่ช้างเอาแน่ ๆ
และเนื่องจากรถเราบรรจุได้ 18 คน ในขณะที่พวกเรามีกันแค่ 6 คน พี่อ้วนสมองใสก็สั่งว่าเราควรจะเซ็งลี้หาลูกค้ามานั่งรถเราเพิ่ม เพื่อเป็นการประหยัดน้ำมันให้เข้ากับเทรนโลกร้อน และเพิ่มพูนเงินในกระเป๋าของพวกเราที่ถึงแม้จะปากมาก แต่ก็เบี้ยน้อย และหอยน้อย... โดยลูกค้าที่พี่อ้วนหมายมั่นปั้นมือสั่งให้พวกเราหาก็คือคนที่ร่วมเดินทางบนนกแอร์ 3 บาทกับเรานั่นแหละ
ตอนพี่อ้วนถามว่าหาลูกค้าได้รึยัง พวกเราก็ตาลีตาเหลือกมองหาลูกค้ากันใหญ่ เดินเข้าไปถามกลุ่มน้องคนไทย 4 คน น้อง ๆ ก็บอกว่ามีรถมารับแล้ว อ้าว ! ความมั่นใจพวกเราเริ่มถดถอย จนเล็งเห็นพี่ ๆ ผู้หญิงวัยกลางคน 3 คน ดูลักษณะก็แล้ว ดูซ้ายดูขวาก็แล้ว ดูยังไง ๆ ก็เป็นคนไทยที่ไม่เคยมาเวียดนามแบบชัวร์ป๊าบ ๆ พวกเราจึงเดินเข้าไปถามว่า "พี่ค่ะพี่ค่ะ พี่มีรถมารับรึเปล่าค่ะ? ถ้ายังไม่มีไปกับพวกเราไม๊ค่ะ? พวกเรามีรถคันใหญ่ค่ะ พี่ไปกับเราได้สบาย เราคิดพี่คนละ 2 ดอลล่าห์เองค่ะ" พอพี่ ๆ วัยกลางคนทั้ง 3 โอเคซิกาแร๊ต พวกเราก็ดีใจกันขนาดใหญ่ที่สามารถทำงานใหญ่ที่พี่อ้วนสมองใสย้ำนักย้ำหนาได้สำเร็จ (แม้ว่าพี่อ้วนจะบอกให้เราหาลูกค้าให้ได้ 8-10 คน แต่แค่ 3 คนเท่านี้ เราก็รู้สึกประหนึ่งเหมือนหาไปได้แล้วเท่ากับรถบัส 2 คัน) ก่อนเล่าต่อ ขอเอารูปรถเครื่องหลุยส์ วิตตง มาให้ดูกันก่อน รถเครื่องแบบนี้มีหลายยี่ห้อมาก ไม่ว่าจะเป็นกุชชี่ หรือหลุยส์ วิตตง

แต่... เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนหน้าด้านอย่างพวกเรา ก็ยังมีคนหน้าด้านกว่าอย่างคนขับรถบัสชาวพี่เวียด... ช่วงที่เรากำลังชุลมุนหาลูกค้า พี่อ้วนก็บังเอิญเจอตัวพลขับชาวพี่เวียดพอดี พี่พลขับก็ถามพี่อ้วนว่ามากันกี่คน พี่อ้วนด้วยความไม่แน่ใจในฝีมือในการหาลูกค้าของพวกเราก็ตอบไปว่าประมาณ 10 แล้วพี่คนขับก็เดินจากไปและบอกว่าจะไปรอพวกเราที่รถ พร้อมเมื่อไหร่ตามไปที่รถนะจ๊ะ เอ๊ะ ทำไมพี่คนขับนี่น่ารักจัง.. ไม่เร่งให้เรารีบขึ้นรถด้วยแฮ่ะ แถมใจเย็นยังจะไปนั่งรอเราที่รถอีกต่างหาก ! โชคดีโว้ยพวกเรา ใครว่าคนพี่เวียดขี้โกง ขี้จุ๊ทั้งเพ... แต่พอเราเดินไปขึ้นรถพร้อมกับพี่ ๆ ลูกค้าที่หามาได้ ก็พบว่า ที่นั่งด้านหน้าคนขับ มีผู้โดยสารมานั่งรอพวกเราอยู่แล้ว 2 คน และเป็นคนไทยด้วย จึงสอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นได้ความว่าระหว่างที่เราหาลูกค้า พี่พลขับก็ตระเวนหาลูกค้าแข่งกับเราด้วยเหมือนกัน แถมได้ราคาดีกว่าเราด้วยอีกต่างหาก โดยเฮียคิดคนละ 3 ดอลล่าห์ 2 คนก็ 6 ดอลล่าห์... พวกเราก็ได้แต่อื้ออึงด้วยความเจ็บใจ ได้แต่อวยพร และอวยชัยพี่พลขับ อวยแล้วก็อวยอีกจนนึกขึ้นมาได้ว่า ทำไมพี่พลขับไม่ออกรถซักกะที มารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่มีชายหนุ่มหุ่นกำยำชาวเวียดเปิดประตูข้างมานั่งประชิดคุณเล็ก แล้วตะโกนบอกเฮียคนขับเป็นภาษาเวียด พวกหมู่เฮาถึงได้เข้าใจในที่สุดว่านอกจากคนไทย 2 แล้ว เฮียพลขับยังสามารถหาลูกค้าชาวเวียดมาได้อีก 1 ไม่ธรรมดาจริง เฮีย ! เฮ้อ..... กูยอมแพ้เฮียแล้ว...
ก่อนไปกันต่อ อยากให้ดูรูปเจ๊ขายมันต่อเผือก ขายอยู่หน้าร้านฟาสฟู๊ด ดูขัดกันพิลึก

พอรถเริ่มออก อะแฮ่ม ... นอกเหนือจากการขับรถด้วยพวงมาลัยซ้ายที่ชาวเวียดรับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศสและอเมริกาแล้ว นิสัยการขับรถของพี่ ๆ ชาวเวียดกลับไม่ได้รับอิทธิพลมากจากชาวฝรั่งเศสหรือชาวอเมริกันเอาซ่ะเลย ว่างเป็นปาด โล่งเป็นแซง ปาดไปก็บีบแตรไป ต่อให้ไม่ปาด แตรก็ยังบีบ ถ้าบีดแตรก็แล้ว ทำท่าจะปาดแล้ว รถข้างหน้ายังไม่มีวี่แววว่าจะหลีกหนี ต้องนี่เลย เปิดไฟสูง แต่อย่าคิดว่าไฟสูงที่ใช้เป็นแค่กระพริบแว๊บ ๆ แบบที่สิบล้อบ้านเราชอบทำนะจ๊ะ เฮีย ๆ แกเล่น เปิดไฟสูงทีละ 15 วิ ถ้าอยู่บ้านเราเฮียทำแบบนี้ เฮียคงต้องโดนรถคันหน้าจอดรถลงมาชักปืนยิงเฮียตายคาถนนอย่างแน่นอน แต่พระเจ้าก็ยังเข้าข้างเฮีย เพราะนี่คือเวียดนาม ประเทศที่คนมีความอดทนอย่างยิ่งยวด พี่เวียดจะว่าไปแล้วก็นับว่าใจเย็นกว่าพี่ไทยมาก ใครจะบีบแตร ก็บีบไป เผลอ ๆ เราก็บีบตอบ ใครจะแซงจะปาดก็ทำไป เดี๋ยวซักพักเราก็ปาดบ้างแซงบ้าง อยากเปิดไฟสูงก็เปิดไป เพราะตอนนี้เราก็เปิดไฟสูงอยู่ เฮ้อ... ใครว่าขับรถที่กรุงเทพได้ก็ขับที่ไหนในโลกได้ ขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่าเป็นคำพูดที่โกหกหลอกลวงที่สุด ประหนึ่งบอกว่าช้างออกลูกเป็นไข่ ฉ้นใดก็ฉันนั้น... รูปข้างล่าง เป็นรถเหมือนกัน แต่เป็นรถขายของสารพัดประโยชน์สำหรับคุณสุภาพสตรีเท่านั้น ขายอะไรบ้างโปรดดูกันเอาเอง

พวกเราสนุกสนานกับการนั่งรถในเวียดนามครั้งแรกกันมาก นึก ๆ ก็เหมือนเล่นเรือเหาะที่แดนเนรมิต (กรี๊ด ๆ เด็กรุ่นใหม่ต้องไปดรีมเวิลด์) ก็มีแต่พี่ปุ้นและคุณเล็กที่ดูจะคร่ำเครียดกับการจราจรอยู่แค่ 2 คน (พี่น้อง) พี่ปุ้นได้แต่บ่นวนเวียนแต่ว่า " พี่หัวใจเต้นแรง เครียด ๆ ทำไมมันบีบแตรกันอยู่ได้ ประสาทจะกิน " ส่วนคุณเล็กแม้ไม่บ่นแต่ก็เห็นนั่งหลังตรง ตัวเกร็ง ตาเขม็งมองทางข้างหน้าอย่างไม่กระพริบตา กอดกระเป๋าเป้แน่นพร้อมพูดพึมพำว่า "กูตายแน่ถ้าต้องมาขับรถที่นี่" 555555 สงสัยคุณเล็กคงคิดเอาเองว่าตัวเองกำลังเล่นเกมส์ประเภท virtual reality อยู่แน่ ๆ

ระหว่างทางเฮียคนขับก็หย่อนผู้โดยสารชาวเวียด และชาวไทยลงก่อน มีการจ่ายเงิน ทอนเงินให้พวกเราเห็นกันซึ่ง ๆ หน้า อันเป็นการหยามศักดิ์ศรีของพวกเราชาวเช่าเหมาลำยิ่งนัก เมื่อถึงโรงแรม ทุกคนก็พากันลงจากรถอันรวมไปถึง ลูกค้า พี่ ๆ 3 คนของพวกเราด้วย ลูกค้าที่ขอเรียก ณ ที่นี้ว่า "พี่ ๆ" ที่ตอนแรกก็ดูติ๋ม ๆ ดี แต่เพียงแค่เหยียบแผ่นดินเวียดได้ไม่นาน นิสัยพี่เวียดก็ออสโมสิส เข้าไปสิงสู่พวกพี่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่ง พอถึงตอนจะเก็บเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้ 3 คน ๆ ละ 2 ดอลล่าห์ รวมเป็น 6 ดอลล่าห์ (ยังได้น้อยกว่าเฮียพลขับเลย ให้ตายเถิด) พี่ ๆ ก็บอกว่า เหลือ 5 ดอลล่าห์ ได้ไม๊ ? อุ๊แม่เจ้า.... อะไรว่ะเนี่ย ? ก็ตกลงกันก่อนแล้วนี่หว่าว่า คนละ 2 เหรียญ 3 คนก็ 6 เหรียญ เอ๊ะ นี่เรารับโจรมาขึ้นรถเหรอเนี่ย พวกพี่ ๆ นี่ไม่มีสัจจะเอาซ่ะเลย พวกเราก็กลั้นใจตอบไปว่า "ไม่ได้ค่ะ 6 เหรียญ ก็ 6 เหรียญตามที่ตกลงกันไว้ พี่ไม่เห็นเหรอค่ะ คนขับเค้าคิดคนละ 3 เหรียญ หนูคิดพี่ ๆ แค่คนละ 2 เหรียญเอง ถูกจะตาย" แต่พี่ ๆ โจรของเราก็ตอบมาให้เราได้อึ้งว่า "2 เหรียญแพง เพราะพี่คิดว่าจะนั่งรถเมล์เข้าเมืองมา" อ้าว... แล้วพี่ ๆ ตกลงขึ้นรถเรามาทำซากอะไรเนี่ย ? พี่ ๆ ขา ถ้าพวกพี่ ๆ จนก็อยู่บ้านเถอะค่ะ อย่าออกมาเป็นอันตรายแก่ชาวโลกเลย พอเห็นท่าไม่ไหว พวกเราก็เข้าไปยืนประชิดตัวให้พี่ ๆ จ่ายเงินมาซ่ะโดยดี พี่ ๆ เห็นท่าว่าไม่ได้การ พวกเราไม่ได้หมูเหมือนที่พี่ ๆ คิด พี่ ๆ อาจจะเห็นว่าระหว่างนั่งรถมาด้วยกัน พวกเราตลกโปกฮากันเป็นอย่างมาก โน่นก็เฮ นั่นก็ฮา พี่ ๆ คิดผิดค่ะพวกหนูขอยืนยัน ถ้าพวกหนูหมู พวกหนูจะหน้าด้าน กล้าหาญคิดหาลูกค้ามาทำเซ้งลี้เหรอค่ะ พอพวกพี่ ๆ ยอมจ่ายเงินเรียบร้อย พวกเราก็เช็คอิน ขึ้นห้อง เปิดกระเป๋า แต่งตัว ใส่เสิ้อหนาว และผ้าพันคอ พร้อมตะลุยฮานอยในยามราตรีด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม (จากการปราบโจร) และคึกคักเป็นอย่างยิ่ง

จากนี้เป็นต้นไป อีก 4 วันในฮานอย คงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าคุณเล็กเป็นตัวดำเนินเรื่องก็ว่าได้.... เพราะคุณเล็กเป็นผู้เดียวจริง ๆ ที่อ่านแผนที่ใยแมลงมุมของฮานอยออก และคล่องแคล่ว ดุจกับเป็นแมลงมุมชาวพี่เวียดอย่างแท้จริง บุ๋ม บุ๋ย บุ๋ม บุ๋ย....

โปรดติดตามตอนต่อไป...

ไม่มีความคิดเห็น: